เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
เจ้าชายมานเวนทระ สิงห์ โคฮิล รัชทายาทแห่งนครราชพิพลา รัฐคุชราต ผู้ทรงเปิดตัวว่าเป็นชาวรักร่วมเพศตั้งแต่เมื่อปี 2006 ได้ประทานสัมภาษณ์เพื่อรณรงค์ให้ “การบำบัดแก้เกย์” (Conversion Therapy) พ้นออกไปจากอินเดีย พระองค์ทรงเปิดเผยว่า การบำบัดดังกล่าวได้ทำให้พระองค์ต้องทรงประสบกับการแพทย์สุดโหด อย่างเช่น “การช็อตไฟฟ้า” ตลอดถึงวิธีอื่นอีกมากที่แพทย์บอกว่าต้องดำเนินการเพื่อ “รักษา” ให้หายขาดจากความเป็นเกย์และกลับมาเป็นผู้ชายแท้ๆ แบบผู้ชายกระแสหลักทั่วไป
เจ้าชายผู้ทรงเจริญพระชนมายุมาถึง 56 พรรษาในปีนี้ ได้ทรงต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อเพื่อให้ประเทศอินเดียหันมาห้ามใช้วิธีการบำบัดแก้เกย์ ซึ่งถ้าความเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ประสบความสำเร็จ จะเป็นความก้าวหน้าสำคัญในเส้นทางการพัฒนาสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้คนในดินแดนภารตะ หลังจากที่อนุทวีปแห่งนี้ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนว่า รักร่วมเพศไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายได้แล้วในปี 2018
ทั้งนี้ กว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าชายแห่งนครราชพิพลา ทรงอุทิศพระองค์ต่อสู้เพื่อสิทธิเท่าเทียมสำหรับประชากรชาวรักร่วมเพศในประเทศอินเดีย รวมทั้งการรณรงค์ให้คนรากหญ้าสามารถต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
เมื่อพระบิดาและพระมารดาของเจ้าชายมานเวนทระได้ทราบความจริงในเรื่องพระโอรสทรงเป็นเกย์ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าชายทรงมีพระชนมายุเป็นผู้ใหญ่เปี่ยมวุฒิภาวะอย่างยิ่งแล้ว คือ 37 พรรษานั้น ทัศนคติของทั้งสองพระองค์ ตลอดจนการดำเนินการต่อพระโอรส เป็นไปในวิถีที่ต้องสงสารเจ้าชายอย่างที่สุด
“ทั้งสองพระองค์พิจารณาว่า เรื่องนี้คือเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อวัฒนธรรมที่บ่มเพาะผมขึ้นมานั้นสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงทราบเลยว่า ไม่มีความเกี่ยวโยงใดๆ ในระหว่างลักษณะทางเพศกับการเลี้ยงดูบ่มเพาะ” เจ้าชายมานเวนทระ ตรัสอย่างนั้นกับเว็บไซต์อินไซเดอร์ที่ได้เข้าเฝ้าและสัมภาษณ์พระองค์เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา และมีการแชร์ต่อๆ ไปทั่วโลก
ทรงรู้ซึ้งถึงทุกข์ของชาวเกย์ เพราะทรงเป็น “อีแอบ” ผู้ตรอมตรม จนอายุ 37 ก็ล้มป่วยเข้าโรงหมอ
อันที่จริงนั้น นับแต่ที่ทรงมีพระชนมายุครบ 12 พรรษาได้ไม่นาน เจ้าชายมานเวนทระ ทรงทราบพระองค์แล้วว่าพระหทัยของพระองค์มิได้มีเสน่หาในอิสตรี ทรงเพียงชมชอบที่จะคลุกคลีสนิทสนมกับพระสหายหญิง แบบที่ชาวเกย์จำนวนมากมักที่จะมีเพื่อนสาวไว้เม้ามอย ทั้งนี้ พระองค์เคยประทานสัมภาษณ์แก่นิตยสารฟอร์บส์ว่า ทรงเป็นอีแอบ ปกปิดความลับเรื่องลักษณะทางเพศโฮโมเซ็กชวลไว้ มิให้ผู้อื่นล่วงรู้
ที่สำคัญคือ การปกปิดมิให้พระบิดาและพระมารดาระแคะระคายอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทรงเล่าไว้กับฟอร์บส์ว่า ทรงเจริญพระชันษามากับพระพี่เลี้ยง ขณะที่ค่อนข้างห่างเหินกับองค์มหาราชาและมหารานีผู้ทรงประกอบราชภารกิจล้นพระหัตถ์
และแล้วการอภิเษกสมรสก็มาถึงในเดือนมกราคม 1991 ขณะทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา โดยเจ้าชายรัชทายาทเข้าสู่พิธีอภิเษกกับเจ้าหญิงจันทริกากุมารี เจ้าหญิงจากเมืองฌาบัว รัฐมัธยมประเทศ ซึ่งเป็นสมรสคลุมถุงชนที่พระบิดาและพระมารดาทรงจัดให้ และเจ้าชายก็ทรงเข้าร่วมโดยสมัครพระทัย โดยทรงพิจารณาว่านั่นเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
ทั้งนี้ ในเวลาสิบกว่าปีให้หลัง เจ้าชายได้เปิดใจถึงวิกฤตชีวิตอภิเษกสมรสอับปางครั้งนี้อย่างหมดเปลือก กล่าวคือ เมื่อทรงแหวกความวิตกหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างออกมาเปิดตัวเรื่องเกย์ให้สาธารณชนได้ทราบในปี 2006 พร้อมกับทรงโดนการต่อต้านฟาดฟันดุเดือดเลือดพล่านที่พุ่งเข้าใส่แบบ 360 องศา จนกระทั่งกลายเป็นข่าวร้อนมันส์หยดในสารพัดประเทศ ซึ่งฮือฮาเห็นใจกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งไปฮือฮาวิ้ดวิ่วในคณะทำงานของรายการทอล์กโชว์สุดแสนโด่งดังคับโลกของ Oprah Winfrey Show เจ้าชายจึงทรงได้รับเชิญไปออกรายการเพื่อให้ โอปราห์ วินฟรีย์ สุดยอดพิธีกรนักพูดแห่งศตวรรษ สัมภาษณ์เจาะใจปัญหาชีวิตเกย์ราชตระกูลในอินเดีย แบบฮาระเบิดระเบ้อ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2007
ในการนั้น เจ้าชายรัชทายาททรงเล่าประทานไปว่า ทรงไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับพระชายาเลย จนกระทั่งในที่สุด พระชายาต้องทรงขอหย่าหลังจากอดทนนานถึง 15 เดือนทั้งที่ว่าการหย่าร้างเป็นความล้มเหลวน่าอับอายอย่างที่สุดสำหรับแวดวงราชตระกูลทั้งปวงในอินเดีย
“ในตอนแรกผมคิดว่าหลังจากแต่งงานแล้ว ทุกสิ่งจะเรียบร้อย แบบว่าเมื่อมีพระชายา ก็จะมีโอรสธิดา แล้วผมก็จะกลายมา ‘เป็นปกติ’ และมีชีวิตสุขสงบ ผมต่อสู้ดิ้นรนมายาวนานเหลือเกินที่จะ ‘เป็นปกติ’ โดยไม่มีผู้ใดบอกผมเลยว่า การเป็นเกย์น่ะคือเรื่องปกติธรรมดา ผู้ที่เป็นเกย์ก็จะเป็นอย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร การมีสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันไม่ใช่การป่วยไข้ ผมเสียใจอย่างเหลือเกินที่ทำลายชีวิตของจันทริกา ผมรู้สึกผิด แต่ผมไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร”
เจ้าชายผู้ทรงเป็นเกย์สไตล์สุภาพสุขุม ตรัสไปอย่างนั้นกับโอปราห์ วินฟรีย์ ในระหว่างประทานสัมภาษณ์ที่ออกอากาศในสารพัดประเทศ ภายใต้เอพิโสดชื่อว่า เกย์ในทุกมุมโลก หรือก็คือ “Gay Around the World” นั่นเอง
เจ้าชายผู้ทรงไม่มีพระหทัยโรมานส์ให้แก่สตรี ได้ตรัสด้วยว่า มันเป็นหายนะโดยแท้ แทนที่จะมีพระองค์ทุกข์ใจอยู่องค์เดียว กลับกลายเป็นว่ามีผู้ที่ต้องตรอมตรมเพิ่มขึ้นมา แทนที่พระองค์จะได้ “ความเป็นปกติ” จากการอภิเษกสมรส ก็กลับกลายเป็นว่าทรงต้องทุกข์ตรมมากกว่าเดิม
หนึ่งทศวรรษต่อมา พระพลานามัยของราชนิกุลแห่งโคฮิลพระองค์นี้ทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่อง จากความเครียดที่ต้องปกปิดความเป็นชายรักชาย อีกทั้งจากการดำรงชีวิตภายใต้ภาพลักษณ์ปลอมๆ ว่าเป็นชายรักหญิง ยิ่งกว่านั้นยังมีแรงกดดันหนักหน่วงให้ทรงอภิเษกสมรสใหม่ ทั้งจากพระบิดากับพระมารดาซึ่งทรงปรารถนาจะยืนยันว่าพระโอรสมิใช่ว่าจะบ่มิไก๊ และทั้งจากพสกนิกรในราชพิพลาซึ่งต้องการเห็นรัชทายาทแห่งเจเนอเรชันถัดไป ความทุกข์ขมที่บั่นทอนพระกายพระทัยอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ ส่งผลให้เจ้าชายถึงกับประชวรด้วยโรคประสาทรุนแรงและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในปี 2002
ประสบด้วยพระองค์เอง เจ้าชายจึงทรงทราบถ่องแท้ถึงความเลวร้ายของ “การบำบัดแก้เกย์”
การล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคสติแตก ณ วัย 37 กะรัต เมื่อปี 2002 เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญยิ่งของเจ้าชายมานเวนทระ
แพทย์ผู้ถวายการรักษาแก่เจ้าชายเกย์แห่งนครราชพิพลา ได้กราบทูลมหาราชาและมหารานีว่า ต้นเหตุสำคัญแห่งการประชวรคือ พระพลานามัยถูกบั่นทอนด้วยความทุกข์สะสมยาวนานจากความเจ็บปวดที่ยอมรับพระองค์เองไม่ได้ว่าทรงเป็นเกย์ หนำซ้ำเครียดหนักที่ต้องคอยระวังมิให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับขั้นสุดยอดนี้
เมื่อมหาราชา และมหารานีแห่งนครราชพิพลาทรงทราบจากแพทย์ว่า พระโอรสเป็นเกย์ จึงบัญชาว่าอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป และทรงนำเจ้าชายไปรับการรักษาจากแพทย์และรับการบำบัดด้วยวิถีจิตวิญญาณ/วิธีไสยศาสตร์ เพื่อเปลี่ยนลักษณะทางเพศของเจ้าชายให้จงได้ ในเวลาเดียวกัน พระหทัยของเจ้าชายก็ทรงเชื่อว่าพระองค์ป่วยด้วยความผิดปกติในรสนิยมทางเพศ จึงทรงยอมอดทนรับการรักษาทั้งปวง หวังว่าจะแก้โรคเกย์ได้สำเร็จตามคำสัญญาของแพทย์และหมอผี
“ทั้งสองพระองค์ทรงส่งผมไปให้แพทย์ทำการรักษาสมอง เพื่อจะทำให้ผมกลายเป็นผู้ชายที่รักผู้หญิง อีกทั้งยังส่งให้ผมเข้ารับการรักษาด้วยวิธีช็อตไฟฟ้า” เจ้าชายแห่งราชวงศ์โคฮิลทรงเผยความทรงจำต่อผู้สื่อข่าวอินไซเดอร์อย่างหมดเปลือก
กระบวนวิธีของการบำบัดแก้เกย์เต็มไปด้วยเทคนิควิธีที่ถูกชาวโลกประณามว่าโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีสะกดจิต การให้อดอาหาร การให้ทานยาที่มีผลต่อระบบประสาทและสมองซึ่งผู้ซึ่งอยู่ในกระบวนการนี้รู้สึกทรมานมากกับผลข้างเคียงของยา นอกจากนั้น ยังมีวิธีโหดร้ายขั้นสุดอีกสองวิธีที่ถูกเอ่ยถึงกันมากในประเทศโลกที่สาม คือ การทำพิธีไล่ผีเกย์ โดยภายในพิธีจะมีการเฆี่ยนตีเพื่อไล่ผี และการข่มขืนเพื่อให้เปลี่ยนรสนิยมทางเพศ
เจ้าชายรัชทายาทแห่งนครราชพิพลาทรงเล่าว่าพระองค์ทรงต้องเผชิญกับการรักษาที่โหดร้ายทารุณมาอย่างหลากหลาย ซึ่งส่งผลเสียหายต่อพระพลานามัย ทำให้พระองค์ทรงตกอยู่ในภาวะซึมเศร้ารุนแรงและทรงคิดอยากจะปลงพระชนม์ชีพขององค์เอง
แม้การบำบัดแก้เกย์ล้วนแต่ล้มเหลว ไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะทางเพศได้ดั่งคำกล่าวอ้าง หนำซ้ำยังละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กันหนักหนา แต่สารพัดประเทศทั่วโลก ยังปล่อยให้การบำบัดแก้เกย์เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย โดยมีเพียง 20 รัฐจาก 50 รัฐเท่านั้น ที่มีกฎหมายห้ามการบำบัดแก้เกย์ (ดูเพิ่มเติมที่ https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_U.S._jurisdictions_banning_conversion_therapy)
กระแสต่อต้านชาวรักร่วมเพศในอินเดีย คือดุเดือดเลือดพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การถูกต่อต้านความเป็นเกย์เริ่มต้นตั้งแต่ภายในบ้าน เจ้าชายมานเวนทระทรงชี้ประเด็นอย่างนั้น
ในครั้งที่ประทานสัมภาษณ์แก่นิตยสารฟอร์บส์เมื่อกรกฎาคม 2020 เจ้าชายมานเวนทระ ตรัสว่า ชาวรักร่วมเพศเปิดเผยต่อคุณพ่อคุณแม่ว่าพวกตนเป็นเกย์นั้น ยังง่ายกว่าที่คุณพ่อคุณแม่จะเปิดเผยต่อสังคมว่า มีลูกเป็นเกย์ ทรงกล่าวด้วยว่า “คุณพ่อคุณแม่อินเดียกลัวคนในสังคม กลัวญาติพี่น้อง และกลัวเพื่อนบ้าน”
“สำหรับพระบิดาและพระมารดาของผม เมื่อทรงทราบว่าผมเป็นเกย์ ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถยอมรับผมในฐานะของโอรสที่เป็นเกย์” เจ้าชายอินเดียทรงกล่าวและเล่าว่า มหาราชาและมหารานีทรงเห็นว่าสิ่งนี้เป็นอะไรที่จะถูกสังคมประณาม จึงทรงใช้วิธีปกปิดมิให้เครือญาติ ราชตระกูลอื่นๆ ตลอดจนสาธารณชนทั้งหลายได้ล่วงรู้
ในช่วง 4 ปีแรกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากการถูกบำบัดแก้เกย์ ข้อตกลงที่มีอยู่ในระหว่างกันคือ ห้ามแพร่งพรายให้ใครได้ทราบเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
แต่ในที่สุดพระโอรสแห่งมหาราชาและมหารานีราชพิพลา ได้ถึงจุดอิ่มตัวที่จะอดทนแบกรับความทุกข์ ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจึงเกิดขึ้น ณ พระชนมายุ 41 พรรษา
นักข่าวสาวนิสัยดีอายุไม่มาก นามว่า ฉิรันตัน ภัฏฏ์ ติดต่อทาบทามเข้าไปถึงเจ้าชายมานเวนทระ ผู้ทรงตอบตกลงและประทานโอกาสเธอได้เข้าสัมภาษณ์ ค่อยๆ สนทนากันหลายวาระตลอดช่วงหลายเดือน จนกระทั่งเจ้าชายทวีความชมชอบในอัธยาศัยของคุณน้องนักข่าว พร้อมกับพัฒนาขึ้นเป็นความไว้วางใจ
ในที่สุด เจ้าชายตัดสินพระทัยเปิดความลับทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับการเป็นชาวรักร่วมเพศ รวมทั้งความทุกข์ระทมพระทัยที่ทรงต้องหลบซ่อน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้นักข่าวสาวฉิรันตันได้ทำหน้าที่เปิดประตูตู้แห่งความลับ และพระองค์ก็ทรงก้าวออกจากการหลบซ่อน ซึ่งจะเอื้อให้พระองค์พ้นจากความทุกข์และความคับข้องใจทั้งปวง
ในวันที่ 14 มีนาคม 2006 ข่าวใหญ่ข่าวร้อนฉ่าว่า เจ้าชายมานเวนทระทรงเปิดตัวแล้วว่าเป็นเกย์ กลายเป็นข่าวพาดหัวอันกระหึ่มแผ่นดินคุชราต แล้วในวันต่อๆ มา ข่าวนี้ถูกตีพิมพ์พรึ่บทั่วประเทศ ทั้งในภาษาฮินดู ภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่นอื่นๆ เป็นที่ฮือฮาในทุกกลุ่มสังคมต่อเนื่องหลายสัปดาห์
ประชาชนในนครราชพิพลาพากันช็อกรุนแรง รวมกลุ่มเดินขบวนพร้อมกันทั่วเมือง เพื่อประท้วงประณามพระโอรสแห่งมหาราชาอย่างดุเดือดไฟแล่บรัวๆ
“ในวันที่ผมเปิดตัวว่าเป็นเกย์ ผมถูกเผาหุ่นประท้วง” เจ้าชายมานเวนทราฃะทรงกล่าวกับเว็บไซต์ข่าวอินไซเดอร์ “มีการประท้วงเต็มไปทั่วเมือง ประชาชนเดินขบวนไปตามท้องถนน ตะโกนประณามว่าผมนำความอับอายและความเกลียดชังมาให้แก่ราชตระกูลและวัฒนธรรมอินเดีย ผมโดนขู่ฆ่าเยอะเลย และมีกลุ่มต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้ถอดผมออกจากทุกตำแหน่ง”
ความโกรธกริ้วดังไฟโลกันต์และการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนได้แผดเผาไปทั่วถ้วนในบรรดาครอบครัวสมาชิกราชตระกูลแห่งนักรบผู้กล้าหาญของราชพิพลา เพราะแต่ละพระองค์ล้วนเดือดร้อนหนักหนาว่าจะตอบปุจฉาจากราชตระกูลอื่นๆ ได้อย่างไร
ปฏิกิริยาที่เล่นงานเจ้าชายมานเวนทระซึ่งมาจากพระบิดาและพระมารดาจึงดุเดือดขั้นสุด มิได้น้อยหน้าปฏิกิริยาที่มาจากพสกนิกร
เจ้าชายทรงเล่าประทานแก่อินไซเดอร์ว่า ทรงถูกขับออกจากวัง ซึ่งทำให้พระองค์เคว้งคว้างหนักมาก ใช่แต่เท่านั้น มหาราชาและมหารานีแห่งราชพิพลายังทรงประกาศผ่านหนังสือพิมพ์แจ้งต่อสาธารณชนว่าได้ตัดขาดพระโอรสแล้ว ด้วยเหตุผลว่าพระโอรสไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ “ไม่เหมาะสมกับสังคม”
ขณะที่เจ้าชายมานเวนทระมิได้ทรงโดนจับกุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายของอินเดียที่กำหนดให้การเป็นชาวรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้น เรื่องราวการเปิดตัวในความเป็นเกย์ของเจ้าชาย กับข่าวคราวถึงกระแสต่อต้านอันสะพัดรุนแรงได้แผ่ไปในนานาประเทศ ซึ่งทำให้เจ้าชายได้รับความสนับสนุนในหลากหลายด้านจากนานาประเทศ
เจ้าชายทรงเล่าถึงระดับความรุนแรงที่เล่นงานชาวรักร่วมเพศทั่วไปในอินเดียด้วยว่า
“ชาวรักร่วมเพศที่เป็นเลสเบียนถูกเล่นงานหนักกว่าใคร ผมรู้จักหลายกรณีทีเดียวซึ่งถูกสมาชิกในครอบครัวข่มขืน เพื่อแสดงว่าเธอสามารถมีเพศสัมพันธ์กับบุรุษได้ และเพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอไม่ใช่เลสเบียน”
ทรงรณรงค์เพื่อสิทธิเท่าเทียมชาวเกย์ จนกระทั่งได้ญาณทัศนะว่า “เกย์เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติมนุษย์”
นับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จดจนเจริญพระชนมายุเป็นเจ้าชายหนุ่มใหญ่ผู้พรั่งพร้อมด้วยพระรูปพระโฉมสง่างาม พระเกียรติยศสูงส่ง พระดีกรีการศึกษายอดเยี่ยม พระทรัพย์สินมหาศาลนั้น เจ้าชายเกย์แห่งราชวงศ์โคฮิลปราศจากซึ่งความสุขสงบพระทัย เพราะทรงอึดอัดคับข้องใจกับการปกปิดความเป็นเกย์ และทรงกลัวว่าความลับจะแตก ขณะเดียวกันยังต้องดำรงอยู่ในความรู้สึกผิด การติเตียนตนเอง และความขัดแย้งไม่เข้าใจในตนเองอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวิกฤตการณ์ชีวิตอภิเษกสมรสอับปางในปี 1991-1992
แต่บุญของพระองค์เริ่มเข้ามาช่วย เมื่อทรงได้รู้จักกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิชาวเกย์รายแรกของอินเดียนาม อโศก ราว กาวี (เปิดตัวว่าเป็นชาวรักร่วมเพศในปี 1988) นักเคลื่อนไหวทางสังคมท่านนี้เปิดโลกกว้างให้แก่เจ้าชายมานเวนทระ นำให้พระองค์ได้เห็นถึงทุกข์มหาศาลที่บรรดาชุมชนชาวเกย์ต้องประสบกับอคติทางสังคมซึ่งทุบตีประหัตประหารชาวรักร่วมเพศ
ด้วยเหตุที่ทรงรู้สึกเห็นใจและสงสาร จึงทรงริเริ่มดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือชีวิตชาวรักร่วมเพศในอินเดียด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์และสองพระหัตถ์ขององค์เอง แบบว่าทรงติดดินและไม่ถือพระองค์นับตั้งแต่ปี 2000 พระภารกิจทั้งปวงดำเนินอย่างต่อเนื่องและขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอเนิ่นนานมากกว่า 2 ทศวรรษแล้ว
ในการนี้ เจ้าชายเกย์ทรงเริ่มตั้ง “กลุ่มลักชยะ ทรัสต์” โดยทรงเป็นองค์ประธานกลุ่มขณะที่ทรงงานด้วยพระองค์เอง แต่ในช่วงครึ่ง 6 ปีแรกนั้น ยังเป็นช่วงที่ทรงดำรงพระองค์แบบอีแอบ
กลุ่มลักชยะ ทรัสต์ เป็นองค์กรจดทะเบียนทำงานการกุศล ฝังตัวในชุมชนเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเชื้อเอชไอวี-เอดส์ ให้แก่ชาวบ้าน ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย พร้อมกับรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในกลุ่มชายรักชาย
พร้อมกันนั้น ยังมีการสร้างทีมนักกิจกรรมสตรีที่จะให้ความรู้แก่แม่บ้านที่มีสามีเป็นไบเซ็กชวล เพื่อให้ทราบวิธีที่มีเซ็กซ์กันอย่างปลอดภัย นอกจากนั้น ยังได้ขยายภารกิจสู่การยกระดับสิทธิเสมอภาคแก่ชุมชนชาวรักร่วมเพศ LGBTQ+ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การทรงงานเพื่อสังคมซึ่งให้ความรู้สึกดีงามหลากหลายแง่มุม ไม่สามารถกอบกู้ความรู้สึกขัดแย้งรุนแรงที่เรื้อรังภายในพระทัยของเจ้าชายมานเวนทระได้ ในปี 2002 ทรงประชวรด้วยอาการทางประสาท กระนั้นก็ดี การดำเนินงานของลักชยะ ทรัสต์ ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
หลายปีที่ทรงยอมเข้าโปรแกรมบำบัดแก้เกย์ อันแสนทรมานและแสนจะหม่นหมองด้วยความรู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกย่ำยี จนกระทั่งพระทัยครุ่นคิดจริงจังกับการปลงพระชนม์ชีพขององค์เอง ในที่สุดก็ทรงตระหนักได้ว่าการบำบัดแก้เกย์สุดโหดทั้งปวงมิได้สร้างสัมฤทธิผลดั่งที่แพทย์และหมอผีให้คำมั่นสัญญา
ยิ่งกว่านั้น เจ้าชายแห่งราชพิพลาสามารถตัดสินพระทัยได้แน่วแน่เสียทีว่า การรักษาที่แพทย์ตั้งชื่อว่า การบำบัดแก้เกย์ หรือก็คือ Conversion Therapy นั้น เป็นกระบวนการที่ไร้ประโยชน์ มีแต่การทรมานทารุณกันอย่างโหดร้าย
ในทางตรงข้าม การทรงงานช่วยเหลือให้ประชาคมชาวรักร่วมเพศ LGBTQ+ สามารถป้องกันชีวิตจากมหันตภัยโรคเอดส์ ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิเท่าเทียมของ LGBTQ+ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทรงดำเนินการร่วมกับปัญญาชนนักเคลื่อนไหวในแวดวงของกูรู อโศก ราว กาวี ส่งผลให้พระวิสัยทัศน์และญาณทัศนะต่อความเป็นจริงของโลกได้รับการพัฒนาอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ส่งผลให้พระองค์ทยอยปลดปล่อยองค์เองออกจากความกลัวต่อการเป็นเกย์
และแล้ว เจ้าชายเกย์ผู้ได้พิสูจน์ความจริงด้วยพระองค์เอง ทรงดำเนินเส้นทางชีวิตมาถึงสภาวะที่พร้อมจะปลดปล่อยองค์เองจากโซ่ตรวนความกลัว ความกลัวต่อผลกระทบจากการที่ไม่สามารถเป็นไปตามบรรทัดฐานสังคม
ดังนั้น เมื่อทรงพบบุคคลที่เข้าใจ บุคคลที่ทรงสบายพระทัยจะเปิดใจเล่าความลับ เจ้าชายมานเวนทระจึงทรงตัดสินพระทัยในปี 2006 ที่จะประทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวสาวนาม ฉิรันตัน ในเรื่องความเป็นเจ้าชายเกย์ผู้ทนทุกข์ โดยที่ทรงตระหนักอยู่ว่าจะต้องประสบกับ “การเปิดตัวเปรี้ยงปัง” คือเปรี้ยงปังปานจะด่าวดิ้นในกระแสต่อต้านครึกโครม
“ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยชอบที่ตนเองเป็นเกย์ แต่ตอนนั้น (ตอนที่ตัดสินใจให้สัมภาษณ์) ผมอยากจะเผชิญความจริงละ แล้วเมื่อผมเปิดตัวต่อสาธารชนและให้สัมภาษณ์กับนักข่าวผู้ใจดี ชีวิตผมถูกแปลงสภาพใหม่ทั้งหมด” เจ้าชายเกย์ทรงประทานสัมภาษณ์แก่โอปราห์ วินด์ฟรีย์ ในคลิปสัมภาษณ์ที่ออกอากาศไปทั่วโลกในวันที่ 24 ตุลาคม 2007
ทรงเป็นดั่งปี๊บ ยิ่งตียิ่งดัง หลังถูกต่อต้านเกลียดชัง ทรงกลายเป็นเซเลบโด่งดังทั่วโลก
หลังจากที่เจ้าชายเกย์แห่งราชวงศ์โคฮิลทรงตัดสินพระทัยก้าวออกมาเปิดตัวว่า “ทรงเป็นเกย์” และหลังจากที่เรื่องราวของพระองค์กลายเป็นคดีชีวิตอันอื้อฉาวภายในกระแสต่อต้านเกลียดชังจากทศทิศ แต่แล้ว การณ์ได้กลายเป็นว่า เจ้าชายเกย์พระองค์นี้ทรงเป็นดั่งปี๊บ ยิ่งตียิ่งดัง เพราะในท่ามกลางความร้อนแรงทั้งปวง สื่อมวลชนหันมานำเสนอเรื่องราวส่วนพระองค์ในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวแห่งพระภารกิจอันติดดินเพื่อชาว LGBTQ+ ระดับรากหญ้าในนครราชพิพลา ที่ช่วยให้ชุมชนปลอดภัยจากโรคเอดส์ ภายในโครงการลักชยะ ทรัสต์นั่นเอง
ยิ่งกว่านั้น สื่อมวลชนในนานาประเทศพากันนำเสนอข่าวดรามาของเจ้าชายเกย์อินเดียผู้แสนดีผู้ซึ่งแสดงบทบาททางสังคมอย่างเข้มแข็ง แต่ต้องมาถูกดูหมิ่นเกลียดชังอย่างดุเดือดเพียงเพราะทรงเป็นชาวรักร่วมเพศ คะแนนนิยมในทางระหว่างประเทศจึงหลั่งไหลเข้าไปชื่นชมราชนิกุลอินเดียพระองค์นี้อย่างล้นหลาม
พร้อมกันนี้ ในปี 2006 นั้นเอง ลักชยะ ทรัสต์ ของเจ้าชายพระทัยทองคำก็คว้ารางวัลเกียรติยศการช่วยเหลือสังคม คือ รางวัล Civil Society Award 2006
กระแสต่อต้านจึงพลิกกลับเป็นกระแสนิยมชื่นชมสุดๆ ต่อความดีงามที่เจ้าชายมานเวนทระทรงมีให้แก่พสกนิกร ในการนี้ แม้แต่มหาราชาแห่งราชตระกูลโคฮิล ผู้เป็นพระบิดา ก็ทรงหันมายอมรับในพระโอรส
ในโมงยามเหล่านั้น นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสมอภาคชาวเกย์ในแวดวงระหว่างประเทศพากันใส่ใจให้การสนับสนุนแก่กิจกรรมของ ลักชยะ ทรัสต์ รวมทั้งการนำ ลักชยะ ทรัสต์ เข้าอยู่ในเครือข่ายระหว่างประเทศขององค์การ APCOM ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือในเอเชียแปซิฟิกเพื่อสุขภาวะทางเพศของชายรักร่วมเพศ ขณะที่ เจ้าชายมานเวนทระก็ทรงได้รับตำแหน่งกรรมการบริหารของ APCOM ด้วย
เมื่อเจ้าชายมานเวนทระทรงโด่งดังเป็นเซเลบระดับโลก ทรงใช้เวทีป็อปปูลาร์ในทางระหว่างประเทศทั้งปวงเป็นเครื่องช่วยรณรงค์ให้นานาชาติหันมาใส่ใจกับปัญหาต่างๆ ที่ย่ำยีบีฑาชาวรักร่วมเพศในอินเดีย ซึ่งปัจจัยตรงนี้สามารถส่งเสริมให้ผู้มีอำนาจในสาขาต่างๆ ตื่นตัวที่จะช่วยเหลือส่งเสริมสิทธิเสมอภาคของชาวรักร่วมเพศ
ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายเกย์ผู้พ้นจากการเป็นอีแอบ และปลดปล่อยองค์เองออกจากความกลัว จึงทรงตอบรับคำเชิญให้ปรากฏพระองค์ในรายการทอล์กโชว์และเรียลิตีโชว์ต่างๆ ทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2007 เจ้าชายมานเวนทระทรงปรากฏพระองค์ในรายการยอดนิยมของโลก เช่น “Oprah Winfrey Network – OWN” โดยทรงเปิดโอกาสให้ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรคนดังสัมภาษณ์เจาะใจพระองค์อย่างครึกครื้น โดยที่พระองค์ก็ทรงตอบทุกคำถามอย่างซื่อใสและจริงใจ อีกทั้งยังทรงสามารถแสดงไหวพริบในการรับมุกและต่อมุกกับโอปราห์ ได้ฉับไวน่าประทับใจ ส่งผลให้ราชนิกุลอินเดียได้รับความชื่นชมจากชาวอเมริกันและชาวโลกอย่างท่วมท้น ทรงกลายเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก ซึ่งมีผลส่งเสริมให้พระภารกิจการส่งเสริมสิทธิเสมอภาคของชาวเกย์ในอินเดีย ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2008 ทรงไปร่วมกิจกรรมระดับโลกของชาวเกย์ คือ Euro Pride Gay Festival ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยทรงประทับนั่งในรถเก๋งเปิดประทุนเคียงข้างกับบรรดาชาวเกย์ผู้เปรี้ยงปังและเริ่ดแซ่บ
กิจกรรมทีเด็ดอีกรายการหนึ่งของเจ้าชายมานเวนทระ คือ การร่วมแสดงในเรียลิตีโชว์ของบีบีซี ชุด Undercover Princes โดยแสดงด้วยกันกับเจ้าชายศรีลังกา และเจ้าชายซูลูแห่งแอฟริกาใต้ ธีมของเรียลิตีโชว์คือ เจ้าชาย 3 พระองค์ทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนและทำงานในบาร์ แล้วก็แสวงหารักแท้ในเมืองไบรท์ตัน ประเทศอังกฤษ อันเป็นรายการโทรทัศน์ที่เฮฮา สนุกสนาน โดยมีให้ชมฟรีทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=_I3m2IrwPEs
นอกจากนั้น ยังมีเรียลิตีทีวีอีกหนึ่งรายการที่เปรี้ยงปังฮาระเบิดระเบ้อ คือ ชุด Air to the Throne ของค่ายทินเซลทาวน์ โปรดักชันของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีบทบาทของพระภัสดาอยู่ในท้องเรื่องเป็นจำนวนมาก เรียลิตีทีวีชุดนี้ออกอากาศในปี 2019 และสามารถติดตามชมฟรีจากยูทูป
หลายปีผ่านไป กิจกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิเท่าเทียมเพื่อชาวเกย์ได้ขยายตัวออกไปมากมาย โดยในปี 2018 เจ้าชายมานเวนทระ ทรงเปิดพระราชวังพื้นที่ 38 ไร่ (15 เอเคอร์) ให้เป็นที่พักพิงแก่ชาวรักร่วมเพศ LGBTQIA+ ที่ถูกคุณพ่อคุณแม่ไล่ออกจากบ้านเมื่อถูกจับได้ว่าเป็นเกย์
เจ้าชายมานเวนทระประกาศชัดเจน จะทรงโค่น ‘การบำบัดแก้เกย์’ ให้พ้นจากอินเดียอย่างแท้จริง
เจ้าชายมานเวนทระตรัสกับอินไซเดอร์ว่า สิ่งสำคัญคือผู้คนที่เป็นเหมือนกับพระองค์ควรมีเวทีให้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านวิธีบำบัดแก้เกย์ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ได้ออกมารณรงค์จนกว่าการบำบัดอย่างนี้จะยุติลงอย่างแท้จริง
“ตอนนี้เราต้องต่อสู้กับประเด็นสำคัญอย่างเช่น การสมรสเพศเดียวกัน สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม มันเป็นวงจรที่ไม่มีวันจบสิ้น” พระองค์ตรัสอยางนั้น และทรงยืนยันว่า
“ผมจะต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ” เจ้าชายรัชทายาทแห่งนครราชพิพลาทรงลั่นพระโอษฐ์อย่างนั้น
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : People.com Oprah Winfrey Network Forbes Indiatoday.in DNA.com wikiwand.com iDIVA.com)