บางแสน ชลบุรี

ยังไม่หยุด! ตำรวจ สภ.แสนสุข ขับรถไปถึงบ้าน “กลุ่มโกงกาง” ซุ่มถ่ายรูป อ้างมาเก็บข้อมูลตามนายสั่ง | ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ยังไม่หยุด! ตำรวจ สภ.แสนสุข ขับรถไปถึงบ้าน “กลุ่มโกงกาง” ซุ่มถ่ายรูป อ้างมาเก็บข้อมูลตามนายสั่ง | ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งเหตุตำรวจสืบสวน สภ.แสนสุข เข้าสอดแนม “กลุ่มโกงกาง” นักกิจกรรมในพื้นที่บางแสน จังหวัดชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่ได้ขับรถมาที่บ้านพักของกลุ่มโกงกาง และถ่ายรูปนักกิจกรรมที่อยู่ในบ้าน สมาชิกกลุ่มโกงกางจึงเข้าไปซักถามเจ้าหน้าที่ถึงสาเหตุที่เข้ามาคุกคามที่บ้าน ได้ความว่า “นาย” มีคำสั่งให้มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เมื่อถูกตั้งคำถามกลับว่า เหตุใดต้องลอบถ่ายภาพประชาชน อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงการขับรถผ่านหน้าบ้านเป็นประจำจนทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในภาวะหวาดระแวง ตำรวจปฏิเสธที่จะให้คำตอบ พร้อมกับบ่ายเบี่ยงให้ไปคุยที่โรงพักแทน

นุกะทิ (นามสมมติ) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยบูรพา และสมาชิกกลุ่มโกงกาง เปิดเผยกับศูนย์ทนายฯว่า หลังจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่คุกคามพวกตนที่บ้านพักในวันที่ 7 ก.ค. 64 กลุ่มโกงกางพบรถปิกอัพ 4 ประตู รุ่นอีซูซุ ดีแมกซ์ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ขับผ่านหน้าบ้านพักวันเว้นวัน โดยรถยนต์คันดังกล่าวจะชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงบ้านพัก จนเป็นที่สังเกตของกลุ่มโกงกาง 

ต่อมาในวันที่ 16 ก.ค. 64 เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่นุกะทิและเพื่อนนักกิจกรรมกำลังทานอาหารอยู่ในบริเวณลานบ้าน รถยนต์คันดังกล่าวได้ขับเข้ามาในหมู่บ้านอีกครั้ง โดยผู้โดยสารภายในรถมีจำนวน 4 – 5 คน ทราบว่าเป็นตำรวจสืบสวน สภ.แสนสุข 3 นาย เนื่องจากทั้งสามเคยเข้ามาสอบถามข้อมูลและถ่ายรูปสมาชิกกลุ่มโกงกางในขณะจัดกิจกรรม ทั้งยังมาติดตามคุกคามกลุ่มโกงกางที่บ้านพักในวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนั้น ตำรวจทั้งสามนายใส่เสื้อกั๊กที่มีตราสัญลักษณ์ตำรวจและคำว่า “สืบสวน สภ.แสนสุข” ปักอยู่ พร้อมกับหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ สมาชิกกลุ่มโกงกางยังระบุว่าชายอีกคนหนึ่งในรถคือชายเสื้อชมพู ซึ่งได้อ้างตัวว่าเป็นนักข่าวท้องถิ่นและพยายามถ่ายรูปข้างในบ้านของกลุ่มโกงกางในวันที่ 7 ก.ค. 

ตำรวจนายหนึ่งได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมา คาดว่าเพื่อถ่ายรูปสมาชิกที่กำลังนั่งอยู่ในลานบ้าน ก่อนจะขับรถออกไป นุกะทิและเพื่อนจึงขับรถจักรยานยนต์ติดตามไป เมื่อถึงหน้าปากซอย รถคันดังกล่าวได้วนกลับเข้ามาอีกครั้ง นุกะทิได้ขอให้คนขับรถลดกระจกลง และสอบถามเหตุผลที่ขับรถเข้ามาที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่ตอบว่าตนเพียงแต่แวะมาหา และกำลังจะลงจากรถไปพูดคุยด้วย 

เมื่อได้ยินดังนั้น นุกะทิกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมถึงถ่ายคลิป ทำไมไม่ลงมาตั้งแต่แรก นี่เป็นการกระทำโดยมิชอบและเป็นการคุกคามประชาชน เจ้าหน้าที่จึงขับรถออกไปจากหมู่บ้าน นุกะทิและเพื่อนได้ติดตามรถตำรวจไปเรื่อย ๆ และได้ทำการไลฟ์บนเพจของกลุ่มโกงกางในระหว่างเดินทาง 

จนกระทั่งเวลาประมาณ 18.40 น. รถตำรวจได้หยุดจอดที่บริเวณด้านของหน้าร้าน 7-11 สาขาหนึ่ง ตำรวจ 2 นาย ลงจากรถ คนหนึ่งสวมเสื้อสีฟ้า กางเกงสีดำ ไว้ผมสั้น ส่วนอีกคนแต่งกายด้วยเสื้อสีเทาและกางเกงสีน้ำเงิน ไว้ผมสั้นเช่นกัน แต่ผมออกสีเทา ลักษณะเป็นคนสูงอายุ นุกะทิและเพื่อนจึงเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า เหตุใดจึงขับรถผ่านหน้าบ้านหลายครั้ง แทนที่จะเข้ามาพบกับกลุ่มโกงกางโดยตรง และหากมีคนขับรถผ่านบ้านของเจ้าหน้าที่และถ่ายรูปในลักษณะนี้เช่นกัน จะรู้สึกโอเคหรือไม่ ตำรวจที่สูงอายุตอบว่าโอเค ก่อนกล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่เพียงแต่ต้องการสอบถามกลุ่มโกงกางเรื่องการร่วมกิจกรรม “คาร์ม็อบแรลลี่” ซึ่งจัดโดย “คณะไทยไม่ทน” ในวันที่ 17 ก.ค. 

นุกะทิและเพื่อนได้ซักถามเจ้าหน้าที่ถึงเหตุผลที่ต้องรายงานความเคลื่อนไหวกับ สภ.แสนสุข และสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ขับรถผ่านหน้าบ้านพักและลอบถ่ายรูปนักกิจกรรม แทนที่จะติดต่อสมาชิกกลุ่มโกงกางมาโดยตรง เมื่อถูกนักกิจกรรมกดดัน เจ้าหน้าที่สูงอายุได้แสดงท่าทีไม่พอใจ และขึ้นเสียงใส่สมาชิกกลุ่มโกงกางว่า ตนไปที่บ้านของกลุ่มโกงกางวันนี้เป็นวันแรก เมื่อวันก่อนไม่ได้ไป

เมื่อถูกบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถาม สมาชิกกลุ่มโกงกางจึงกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า “มันเหมือนการคุกคาม เราอยู่บ้านของเราแต่คุณมาถ่ายคลิปแบบนี้ เราไม่ได้อยู่สวนสัตว์นะคุณ เข้าใจไหม? เราไม่ได้แสดงโชว์ นี่คือบ้านของเรา เราเอาไว้พักผ่อน แต่คุณมาทำแบบนี้ มันโอเคไหม?”

ตำรวจฝ่ายสืบพยายามหาคำอธิบายใหม่ โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ออกตรวจและบันทึกภาพทั่วไป ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการไลฟ์บนเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มโกงกาง อีกทั้งยังอ้างว่า ได้รับคำสั่งให้เข้าไปดูลาดเลาที่บ้านนักกิจกรรม และบันทึกภาพเพื่อสืบทราบว่ามีสมาชิกคนใดอยู่ที่บ้านบ้าง

ขณะที่ตำรวจทั้ง 2 นายกำลังพูดคุยกับนักกิจกรรม   ตำรวจอีกนายได้เปิดประตูรถ และตะโกนทั้งสองนายกลับขึ้นรถ เนื่องจากมีคำสั่งให้ไปที่มหาวิทยาลัยบูรพา ณ ขณะนั้นเอง กลุ่มสมาชิกโกงกางได้ทะยอยเดินทางมาสมทบนุกะทิและเพื่อนแล้ว บางส่วนได้เดินเข้าไปที่รถตำรวจ แต่ถูกปิดประตูใส่ ส่วนนักกิจกรรมบางคนยืนปักหลักคุยกับตำรวจ 2 นายนอกรถ และถูกตำรวจเสื้อฟ้าชี้หน้า พร้อมทั้งยืนกรานว่านี่คือการออกตรวจตามปรกติ เนื่องจากตนมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักกิจกรรมอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ที่สูงอายุได้พูดสนับสนุนในทำนองเดียวกัน แต่ปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นคนถ่ายรูปนักกิจกรรม

ต่อมาสมาชิกกลุ่มโกงกางได้ตะโกนว่า “ตำรวจคุกคามประชาชน ช่วยด้วย” เพื่อแจ้งให้ผู้คนในบริเวณนั้นทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจนายหนึ่งจึงตอบโต้กลับว่า “ประชาชนก็กำลังคุกคามตำรวจเหมือนกัน” และเดินกลับขึ้นรถไป อย่างไรก็ตาม สมาชิกกลุ่มโกงกางยังคงติดตามเจ้าหน้าที่ไปที่รถ ทำให้หนึ่งในกลุ่มตำรวจเปิดประตูพร้อมกับกล่าวว่า พวกตนยังต้องไปที่มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปนักกิจกรรมที่เข้ามาคุยกับตน

เมื่อเห็นว่าตำรวจกำลังจะขับรถออกไปจากพื้นที่ สมาชิกกลุ่มโกงกางคนหนึ่งเดินเข้าไปขวางรถเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่กลับเคลื่อนรถไปข้างหน้า จนทำให้รถเกือบจะชนนักกิจกรรมคนนั้น สมาชิกกลุ่มโกงกางคนอื่น ๆ จึงกระจายตัวล้อมรถ และให้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ลงมาคุยด้วย บางส่วนส่งเสียงตะโกนว่าประชาชนมีสิทธิที่จะไม่รายงานความเคลื่อนไหวกับตำรวจ

เมื่อถูกนักกิจกรรมรวมตัวกันกดดัน เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งจึงลงมาจากรถ และเปิดแชทไลน์ให้กลุ่มโกงกางดูคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ทั้งให้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนกล่าวว่า ตำรวจต้องการทราบพิกัดการจัดกิจกรรมของกลุ่มโกงกาง เพื่อที่จะได้เข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกตามคำสั่ง และหลังจากนี้พนักงานสืบสวนยังต้องไปดูสถานการณ์ที่บริเวณมหาวิทยาลัยบูรพาอีก

นักกิจกรรมยังถามย้ำว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงขับรถมาที่บ้านพักในวันก่อน และมาตามคำสั่งอะไร พนักงานสืบสวนคนดังกล่าวตอบแค่ว่า ตนไม่ได้มีเจตนาเข้ามาคุกคามหรือก่อกวน พร้อมกำชับอีกครั้งว่าตำรวจเพียงแต่มาตามคำสั่ง หากมีอะไรสามารถตามไปหาที่มหาวิทยาลัยบูรพาได้ 

หลังจากกลุ่มโกงกางยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากตำรวจชุดที่มาสอดแนมและถ่ายภาพสมาชิกกลุ่มถึงบ้านพัก นักกิจกรรมคนหนึ่งจึงโทรศัพท์ให้ร้อยเวรนายหนึ่งจาก สภ.แสนสุข เข้ามาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

ในขณะที่กำลังรอร้อยเวร สมาชิกกลุ่มโกงกางได้ถามชุดสืบที่มาถ่ายรูปพวกตนว่า ถ้าหากตนนั่งอยู่หน้าบ้าน แล้วมีคนเข้ามามาถ่ายรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต จะสามารถแจ้งความหรือดำเนินคดีอย่างไรได้บ้าง และหากพบรถที่ไม่มีป้ายภาษีรถยนต์ อาทิ รถอีซูซุ ดีแมกซ์ ที่ชุดสืบใช้ จะจัดการได้อย่างไรบ้าง ตำรวจปฏิเสธที่จะให้คำตอบชัดเจน และย้อนถามสมาชิกกลุ่มโกงกางว่า “แล้วนักกิจกรรมใส่หมวกกันน็อคไหม” นอกจากนี้ ตำรวจยังคงย้ำว่าตนมาตามคำสั่งเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสมาชิกกลุ่มโกงกางไม่พอใจกับคำตอบ ตำรวจจึงพยายามเรียกตัวนักกิจกรรมคนหนึ่งไปคุยเป็นการส่วนตัว แต่สมาชิกกลุ่มโกงกางที่อยู่บริเวณนั้นไม่ยินยอม

เมื่อเวลาประมาณ 19.10 น. ร้อยเวรได้เดินทางมาถึง สมาชิกกลุ่มโกงกางจึงได้เข้าไปสอบถามตำรวจคนดังกล่าวด้วยคำถามชุดต่าง ๆ 

นักกิจกรรมเริ่มต้นถามตำรวจเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับผู้ถ่ายภาพประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้คำตอบเป็นทำนองว่า หากนักกิจกรรมคิดว่าตนถูกละเมิดสิทธิและได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว ให้ไปร้องทุกข์แจ้งความกับพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่อาจชี้ได้ว่าการกระทำอะไรเข้าข่ายการกระทำผิด เนื่องจากหน้าที่ดังกล่าวเป็นของศาลยุติธรรม 

ต่อมานักกิจกรรมได้ถามร้อยเวรว่า สามารถดำเนินคดีกับตำรวจสืบสวนตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยการเอาผิดเจ้าพนักงานที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้หรือไม่ ซึ่งร้อยเวรไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน และตอบสั้น ๆ ว่าตำรวจจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน

สมาชิกกลุ่มโกงกางคนหนึ่งกล่าวกับร้อยเวรว่า ผู้โดยสารคนหนึ่งในรถคือบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นนักข่าวและเข้ามาหากลุ่มโกงกางพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 7 ก.ค. ปัจจุบันนักข่าวคนดังกล่าวยังไม่แจ้งว่าจะนำรูปถ่ายบ้านพักกลุ่มโกงกางไปทำอะไร  ทำให้สมาชิกกลุ่มโกงกางต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิต แต่ร้อยเวรไม่ได้แสดงความคิดใดใด ขณะนั้นเองชายในรถคนหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยใดได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปนักกิจกรรมอีกครั้ง 

เมื่อไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสืบสวนหรือร้อยเวร สมาชิกกลุ่มโกงกางจึงขอให้เจ้าหน้าที่เชิญผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นคนออกคำสั่งมาพูดคุยกัน แต่ร้อยเวรได้เชิญให้นักกิจกรรมไปแจ้งความและลงบันทึกประจำวันที่โรงพักแทน และได้พูดเป็นทำนองว่า เจ้าหน้าที่ขอเรียกร้องสิทธิบ้าง อย่าถ่ายรูปเจ้าหน้าที่เลย เนื่องจากมันไม่สุภาพ 

หลังจากนั้นร้อยเวรได้ปลีกตัวไปคุยกับตำรวจสืบสวนที่อยู่ในรถอยู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้นนักกิจกรรมได้พยายามฟังบทสนทนา แต่ถูกตำรวจปิดประจกใส่ ก่อนที่หนึ่งในตำรวจชุดสืบจะเดินมาบอกให้สมาชิกกลุ่มโกงกางไปที่ สภ.แสนสุข หากยังต้องการสอบถามอะไรอีก และกลับขึ้นรถ ขับออกไปจากพื้นที่ในเวลา 19.40 น. โดยประมาณ โดยมีร้อยเวรขับรถยนต์ตามหลังออกไป 

อนึ่ง ตลอดการพูดคุยกับกลุ่มโกงกาง ตำรวจสืบสวนทั้ง 3 นาย ไม่ได้แสดงบัตรประจำตัว หรือแจ้งชื่อนามสกุลและยศตำรวจกับนักกิจกรรมแต่อย่างใด

2 วันต่อมา กลุ่มโกงกางได้รับแจ้งจากประชาชนว่า ในวันที่ 16 ก.ค. 64 พบรถอีซูซุ ดีแมกซ์ สีขาว ทะเบียน “XXX กรุงเทพมหานคร” จอดอยู่หน้าบริเวณมหาวิทยาลัยบูรพาจนถึงเวลา 20.30 น. ซึ่งตรงกับที่ตำรวจกลุ่มนั้นอ้างว่า มีคำสั่งให้ไปดูสถานการณ์ที่มหาวิทยาลัย

สำหรับตำรวจสืบสวนทั้ง 3 นาย นุกะทิเคยพบในกิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ปี 62, กิจกรรม  #ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ และกิจกรรมรำลึกครบรอบ 44 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถ่ายรูปนักกิจกรรมและสอบถามข้อมูล โดยอ้างว่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักกิจกรรม และต้องนำข้อมูลไปทำรายงานส่ง “นาย” 

ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามคุกคามนักกิจกรรมในจังหวัดชลบุรีอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยตำรวจจำนวนเกือบ 20 นายได้กระจายตัวล้อม “กลุ่มฅราม” กลุ่มนักกิจกรรมในพื้นที่พัทยา และกดดันให้นักกิจกรรมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่สมาชิกกลุ่มฅรามกำลังแขวนหุ่นจำลองตัวแทนอาชีพต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารจัดการของรัฐบาล ในสัปดาห์เดียวกันเอง พนักงานสืบสวนจากสภ.แสนสุขได้เดินทางไปที่บ้านพักของกลุ่มโกงกาง โดยอ้างว่ามาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำกิจกรรมทางการเมือง และพยายามยึดรถจักรยานยนต์ของนักกิจกรรมไปตรวจสอบ

การติดตามคุกคามที่บ้านของตำรวจตลอดทั้งเดือนกรกฎาคมได้สร้างความไม่รู้สึกปลอดภัยในชีวิตและความหงุดหงิดให้กับสมาชิกกลุ่มโกงกางอย่างยิ่ง โดยนักกิจกรรมประสงค์ให้เจ้าหน้าที่เลิกเข้ามาสอดแนมโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ สมาชิกกลุ่มโกงกางยังตกอยู่ในภาวะเครียด จนเกิดอาการวิตกกังวลเมื่อพบเห็นรถขับผ่านหน้าบ้าน โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษคือสมาชิกที่พักอาศัยอยู่บ้านพักหลังดังกล่าวเป็นประจำ

.

กลุ่มโกงกาง การติดตามคุกคาม การสอดแนม ชลบุรี ตำรวจภูธรแสนสุข สภ.แสนสุข

เรื่องล่าสุด