การร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทย และต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายในปีพ.ศ.2566 ยังคงมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา  โดยเฉพาะกลุ่มของผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเข้ามาลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการไทยนานหลายปีแล้ว โดยการร่วมทุนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในปีนี้ “พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ” ระบุว่า เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง

ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่เคยร่วมทุนกันมาก่อนแล้ว หรือเป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่เคยร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยรายอื่นมาแล้ว ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่จากต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย โดยช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมามีการร่วมทุนกันระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติไล่ตั้งแต่

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”กับโนมูระ เรียลเอสเตทมีการร่วมทุนกันอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มอีก 2 โครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ารวมประมาณ 3,600 ล้านบาท นอกจากนี้ ในด้านธุรกิจโรงแรม ออริจิ้นฯ มีการร่วมทุนกับทางโตคิว แลนด์ เอเชียโดยการตั้งบริษัท วัน ออริจิ้น ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด ในการบริหารโรงแรมไอบิส 3 แห่งที่ภูเก็ต อ่าวนาง และหัวหิน  พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีการร่วมทุนกับทางซูมิโตโม ฟอเรสทรี เพิ่มอีก 1 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท 

“เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ “ร่วมทุนกับบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดจากประเทศญี่ปุ่น

โดยเงินลงทุนร่วมกัน 3,900 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร 2 โครงการบนถนนศรีนครินทร์- กรุงเทพกรีฑา” เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น” ประกาศร่วมทุนกับทางโตเกียว ทาเทโมโนะโดยร่วมทุนในการพัฒนาโครงการเรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท

“กลุ่มเอ็นริช”ประกาศความร่วมมือกับทางไซบุ แก๊ส ในการพัฒนาโครงการอาร์ค สุขุมวิท 39 ร่วมกันโดยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 835 ล้านบาท เป็นโครงการที่ 2 ที่พวกเขาร่วมทุนกัน

“เรียลแอสเสท”ร่วมทุนกับทางโซเทสสึ เรียลเอสเตทในการพัฒนาโครงการ Vivaldi บางนา มูลค่าประมาณ 1,300 ล้านบาท ต่อจากการร่วมทุนกันพัฒนา 2 โครงการก่อนหน้านี้ คือ THE STAGE Mindscape Ratchada – Huai Khwang  โครงการ A Space Mega Bangna ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นร่วมทุนกับทางโตเกียว ทาเทโมโนะในการพัฒนาอาคารสำนักงานร่วมกันในทำเลสุขุมวิท

“แอสเซทไวส์”ร่วมทุนกับทาคาระเลเบ็นในการพัฒนาโครงการแอทโมซโฟล์ว มีนบุรี มูลค่าประมาณ 1,350 ล้านบาท โดยโครงการนี้เป็นโครงการที่ 3 ที่ร่วมทุนกัน

“แอสเซทไวส์”ร่วมทุนกับทางโตเกียวทาเทโมโนะ ในการพัฒนาโครงการเคฟ โคโค่ บางแสน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท “เอพี ไทยแลนด์” ร่วมทุนกับมิตซูบิชิ เอสเตทที่ร่วมทุนกันพัฒนาโครงการมายาวนานร่วม 10 ปีอีก 1 โครงการในช่วงครึ่งหลังปีพ.ศ.2566 มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์”ประกาศตอนต้นปีว่าปีพ.ศ.2566 จะมีการร่วมทุนกับทางร่วมทุนกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป อีก 22 โครงการมูลค่าที่ลงทุนร่วมกันคือ ประมาณ 21,210 ล้านบาท เป็นอีกคู่ที่ร่วมทุนกันมานาน

 การร่วมทุนที่เกิดขึ้นในช่วง 7 – 8 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการไทย และต่างชาติที่เคยมีการร่วมทุนกันมาก่อนหน้านี้ หรือเป็นผู้ประกอบการต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยมาก่อนหน้านี้ หรือมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยมาบ้างแล้ว และผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ที่มีการร่วมทุนกับทางต่างชาติจะเป็นผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็มีบางบริษัทที่ไม่ได้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่มีการเจรจา และร่วมทุนกับผู้ประกอบการต่างชาติเช่นกัน

 ผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยมากที่สุด ทั้งในเรื่องของจำนวนโครงการ และมูลค่าการลงทุนร่วมกัน บางรายจับคู่ร่วมทุนกันมานานกว่า 10 ปี ลงทุนร่วมกันมามากกว่า 100,000 ล้านบาท และผู้ประกอบการญี่ปุ่นบางรายมีการร่วมทุนกับหลายผู้ประกอบการไทยไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นรายใดรายหนึ่งเท่านั้น

การร่วมทุนของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติเป็น 1 ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมานาน ผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อมหลายรายพยายามหาพันธมิตรต่างชาติเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการในประเทศไทย เพราะตลาดอสังหา ริมทรัพย์ในประเทศไทยยังพอมีช่องว่างให้หารายได้ต่อเนื่อง และ

ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ในเรื่องของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังหาช่องทางในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม เป็นต้น