บางแสน ชลบุรี

LITTLE WHALE

LITTLE WHALE | นิยาย Dek-D | LINE TODAY

LITTLE WHALE

ความทรงจำที่เลือนหายไปพร้อมกับสายน้ำเมื่อหวนคืนกลับทำให้เขาเกือบแตกสลาย แม้ยากจะทำใจแต่สุดท้ายชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป แต่เขาหรือก็ไม่เก่งอะไรมากนัก งานเก่าที่เคยทำก็ขอบาย …เอาไงดีนะเรา?

ข้อมูลเบื้องต้น

◌◌ WARNING ◌◌

◌ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา [ชาย×ชาย] เป็นส่วนใหญ่ และเกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ดังนั้นจึงมีบางสิ่งที่อาจไม่สมเหตุสมผล ขอแนะนำให้คุมรีดทุกคนอ่านเพื่อความบันเทิงค่ะ~ (ㆁᴗㆁ✿) ◌

◌ นายเอกเรื่องนี้เป็นสาวดุ้นค่ะ เน้นความสวยเว่อไว้ก่อน 5555555555 ◌

◌ฉาก NC อาจมีหรือไม่ ไม่รับประกันนะคะ เพราะงั้นอย่างคาดหวังน๊าาาา

ที่สำคัญคือเป็นเด็กดีกันด้วยนะคะทุกคนน~◌

◌ หากรับไม่ได้สามารถกดออกได้ทันทีค่ะ เก๊าไม่บังคับให้อ่าน โอเกน๊าาา~ ヽ (´▽`) ノ ◌

ปี 20XX มหันตภัยร้ายกวาดล้างโลกใบเก่า มนุษยชาติสูญหายตายจากพากับอพยพหลบหนีจากโลกใบเก่า

การย้ายถิ่นฐานครั้งใหม่มาพร้อมกับสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เนิ่นนานหลายร้อยปี

ในี่สุดสองเผ่าพันธุ์จับมือร่วมกันยุติสงคราม

แน่นอนว่าอารยธรรมก้าวหน้ารวดเร็วฉันท์ใด ย่อมมีความล้าหลังแฝงอยู่ฉันท์นั้น…

ผลกระทบจากสงครามทำให้ผู้คนพากันลืมเลือนสิ่งบันเทิงทั้งหลายไม่ว่าจะดนตรี การแสดง เกม หรือกระทั่งอาหาร

จากการประชุมโต้เถียงกันอย่างยาวนาน พวกเขาเลือกที่จะจัดตั้งองค์กรเพื่อรื้อฟื้นบูรณะสิ่งบันเทิงให้กลับมา

….

และนั่นคือสิ่งที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ ปัจจุบันคือทุกอย่างเริ่มฟื้นคืนแล้ว

ติดที่ว่าบางส่วนเนี่ยค่อนข้างเลวร้าย อาจเพราะอิทธิพลจากสงคราม อาหารเลยค่อนข้างไปในทิศทางที่รวบรัดฉับไว

เอาเข้าปากเคี้ยวๆจบไม่มีการปรุงรสใดๆทั้งสิ้น

บอกตรงๆ คนกินจุอย่างเวลไม่ปลื้มอย่างแรง! แต่จะไลฟ์สอนก็ไม่ถนัดอีกเพราะเป็นโรคตื่นคน

เอาเป็นว่าขอถ่ายคลิปแทนละกัน!!

มาเปิดเอาไว้ก่องงงงง~

CONTACT: FANPAGE

บทนำ

บทนำ

[ ลาสต์เอนด์ ] เหตุการณ์อันร้ายแรงที่ถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์ที่ยากจะลืมเลือน ว่าด้วยยุคศตวรรษที่ 2X ได้เกิดเหตุมหันตภัยร้ายแรงขึ้นจากการละเลยธรรมชาติ ราวกับพระเจ้าลงทัณฑ์ความโลภของมนุษย์

อุกกาบาตขนาดใหญ่นับร้อยนับพันพุ่งเข้าชนโลก ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาน้ำแข็งละลาย น้ำท่วมสูง เกิดคลื่นยักษ์สาดซัดทำลายบ้านเรือนนับร้อยนับพัน ตึกรามบ้านช่องพังถล่ม ผู้คนต่างพากันหนีตายจ้าละหวั่น กระนั้นนับเป็นโชคดีที่ยุคสมัยของพวกเขามีการย้ายถิ่นฐานขึ้นที่สูงจำนวนมาก ทว่ามันกลับกลายโชคร้ายตกเป็นของผู้คนที่ยังคงอยู่พื้นที่ต่ำ มันได้แปรเปลี่ยนผืนดินกลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรเชี่ยวกราก

ประเทศที่ยังรอดพ้นจากภัยร้ายรีบใช้โอกาสที่ตนได้รับขนของสำคัญของมนุษย์ขึ้นยานให้มากที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ พวกเขาต่างพากันหลบขึ้นยานอพยพบินหนีออกจากโลกที่กำลังล่มสลาย…

บางส่วนที่หลบหนีไม่ทันจำต้องพึ่งพาทางออกสุดท้ายอย่างไทม์แคปซูลในห้องทดลองชั้นใต้ดินขององค์กร แม้ไม่รู้ว่าพวกตนจะสามารถฟื้นคืนกลับมาได้จริงหรือไม่ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของพวกตนผ่อนคลายแทนสิ้นหวังกับความสูญเสีย

กลุ่มนักวิจัยที่รอดชีวิตจากมหันตภัยร้ายทำลายล้างของโลกพยายามหาหนทางฟื้นฟูอารยธรรมของมนุษย์ขึ้นอีกหน พวกเขาตระเวนตามหาดาวเคราะห์ที่สามารถใช้ชีวิตได้ ใช้เวลาอยู่นานหลายสิบหลายร้อยปี ในที่สุดยานอพยพได้ลงหลักปักฐาน ณ ดาวเคราะห์แห่งหนึ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับโลกเก่า

พวกเขาตั้งชื่อมันว่า [ ยูโทเปีย (Utopia) ]

กาลเวลาผันผ่าน จากทศวรรษ เป็นศตวรรษ และกลายเป็นสหัสวรรษ อารยธรรมถูกพัฒนา เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าเรื่องการขนส่ง คมนาคมและการเดินทางข้ามดวงดาว

เหล่ามนุษย์ผู้หลบหนีมหันตภัยร้ายกาจมายังอวกาศ นานวันเข้าทำให้พวกเขารูปร่างเปลี่ยนแปลง ปรับสภาพของตนเองเพื่อเอาชีวิตรอด ยุคปัจจุบันไม่เหลือมนุษย์ปกติธรรมดาเหมือนดังอดีตอีกแล้ว แม้มีสภาพภายนอกเหมือนมนุษย์เช่นเดิม ทว่าอายุขัยของพวกเขาอยู่ที่สองร้อยปี บางคนมีครีบเพื่ออาศัยอยู่ในน้ำ หรือบางคนมีหูเหมือนสัตว์ทำให้การได้ยินกว้างไกล

และใช่ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีเกือบทั้งหมด…

ในช่วงโยกย้ายมายังต่างดาวและก่อสร้างอารยธรรมขึ้นอีกครั้ง พวกเขาต้องเผชิญกับสงครามอวกาศนับร้อยนับพันครั้งจากชาวต่างดาวที่ไม่คิดต้อนรับเหล่ามนุษย์ที่มีอายุขัยน้อยแถมยังไร้ความสามารถในเกือบทุกๆ ด้าน

ไม่มีใครคาดคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะก่อเกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ไม่ต่างจากที่เคยดูผ่านภาพยนตร์ทั้งหลาย…

หลังสงครามนับร้อยนับพันปีในที่สุดพวกเขาหยุดการทำสงครามและจับมือสร้างสนธิสัญญาสงบศึก แลกเปลี่ยนความรู้ ความก้าวหน้าและความเข้าใจกันและกันเสียใหม่

นั่นเป็นเหตุให้อารยธรรมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

ซึ่งอารยธรรมก้าวหน้ารวดเร็วฉันใด ย่อมมีความล้าหลังแฝงอยู่เมื่อนั่น ผลกระทบจากสงครามทำให้สิ่งที่เรียกว่า [ สื่อบันเทิง ] เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน ผู้นำของยูโทเปียในขณะนั้นค้นพบตำราของบรรพบุรุษกล่าวขานถึงสิ่งที่เรียกว่าสื่อบันเทิง เล่าความสำคัญของสื่อเกม การแสดง การดนตรี ศิลปะ และ อาหารเลิศรส

ท่านผู้นำไม่รอช้ารีบเรียกประชุมผู้นำของเหล่าพันธมิตร ไม่นานองค์กรการฟื้นฟูอารยธรรมโบราณได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูสิ่งที่เรียกว่าสื่อบันเทิง พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณของเหล่าบรรพบุรุษ ประจวบเหมาะกับทางกลุ่มนักวิจัยผู้ได้รับหน้าที่ในการดูแลยานยุคแรกเริ่มสามารถแก้รหัสเข้าห้องพิเศษได้ พวกเขาค้นไทม์แคปซูลรุ่นเก่าของผู้อพยพ

เหล่านักวิจัยไม่รอช้ารีบทำเรื่อง พากันเดินทางไปค้นหาไทม์แคปซูลยังโลกเก่า ใช้เวลานับร้อยปีกับการส่งหุ่นยนต์ค้นหามัน และพวกเขาก็ได้พบว่าภายใต้ท้องทะเลกว้างใหญ่นั่นมีโบราณสถานเก่าแก่หลบซ่อนอยู่ ไทม์แคปซูลหลายสิบล้านเครื่อง ด้วยการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่นี่ย่อมนำมาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

….

น่าเศร้านัก ไม่ว่าบรรดานักวิจัยจะพยายามมากเพียงใด ส่งหน้าที่แก่เหล่าลูกศิษย์หรือครอบครัวตนรับช่วงต่อแค่ไหน ไทม์แคปซูลนับแสนนับล้านเครื่องที่ถูกปลดรหัสไม่อาจเรียกคืนชีวิตเหล่าบรรพบุรุษได้สักคน…

ภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ส่งผลโบราณสถานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเพราะไม่เพียงน้ำท่วม จากการตรวจสอบพบว่าเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเลเมื่อนานหลายพันปีก่อน ส่งผลให้ไทม์แคปซูลบางส่วนในโบราณสถานพังเสียหายจากการถูกแรงกระแทก บางส่วนไหลตกจากชั้นวาง มนุษย์ภายในนั้นหลุดไหลออกมาก่อเกิดเป็นภาพที่ค่อนข้างกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเหล่านักวิจัยไม่น้อย…

แม้ว่าเครื่องไทม์แคปซูลจะสร้างจากวัตถุดิบแข็งแกร่งในยุคสมัยแรกเริ่มเพียงใด กว่าจะค้นพบอย่างจริงจังหากนับรวมสงครามระหว่างดวงดาวก็หลายพันกว่าปี ไม่แปลกที่จะเกิดการกัดกร่อนผุพัง…

องค์กรของพวกแตกต่างจากองค์กรที่ได้รับให้มีการฟื้นฟูสื่อบันเทิง พวกเขาได้มีการพัฒนาสื่อขึ้นอย่างรวดเร็วโดยอ้างอิงจากตำราและสื่อบันทึกจากท่านบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะวงการบันเทิง วงการดนตรี หรือกระทั่งวงการเกม ทุกอย่างพัฒนาและให้เสียงตอบรับที่ดีอย่างมาก ประชาชนทุกคนต่างชื่นชอบอย่างมาก ความเครียดจากการทำงานของพวกเขาได้รับการปลอบประโลมแล้ว

….

ทว่าสิ่งที่ไม่พัฒนาคือการปรุงอาหาร…

ใครหลายคนต่างพากันลืมเลือนการทำอาหาร ทุกสิ่งดำเนินชีวิตด้วยอาหารเหลว เยลลี่ อาหารสังเคราะห์อัดแท่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน อาจเพราะในอดีตผู้คนมุ่งเน้นแต่การพัฒนาเทคโนโลยีและพยายามเอาชีวิตรอดจากสงครามระหว่างจักรวาล อะไรที่ทานได้ก็ทานๆ เข้าไปเสียอย่าไปคิดมากจนก่อเกิดเป็นความสะดวกสบายจนยากจะถอนตัว

ทำให้ปัจจุบันเรียกอาหารของคนยุคอดีตว่า [ อาหารแรกเริ่ม ]

เช่นเดียวกับการเรียกโลกเก่าของพวกเขาว่า [ ยุคแรกเริ่ม ]

กลุ่มนักวิจัยที่ถูกจัดตั้งให้เกี่ยวข้องกับเรื่องฟื้นฟูอาหารถูกแบ่งแยกออกเป็นสองสถาบันอันได้แก่ [ สถาบันวิเคราะห์อาหารแรกเริ่ม ] และ [ สถาบันวิเคราะห์ข้าวของยุคแรกเริ่ม ]

พวกเขาพยายามสืบหาวิธีเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ สืบหาวิธีดูแล สืบหาวิธีบำรุง เพื่อให้มันเติบโตได้อย่างงอกงามก่อนส่งแก่เหล่าผู้สนใจเพาะปลูก เหล่านักวิจัยทำการประสานงานร่วมกับกลุ่มนักวิจัยที่ได้รับหน้าที่ในการดูแลยาน จนได้ของที่อยู่ในห้องคงสภาพจากเหล่ายานยุคแรกเริ่มออกมาวิเคราะห์ ทำให้ง่ายต่อการศึกษาสิ่งที่เรียกว่า [ เครื่องปรุง ] อันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่

เมื่อทำการศึกษาวิจัยเป็นที่เรียบร้อยว่ามันปลอดภัยไร้สารพิษ พวกเขาจะส่งวัตถุดิบไปยังพ่อครัวปรุง ก่อนส่งไปทาง [ สเปซมาร์เก็ต (Space Market) ] ให้ผู้คนเลือกจับจ่ายใช้สอยวัตถุดิบมาปรุงเป็นอาหาร

….

แต่จะให้ผู้คนเดินทางไปยังสถาบันวิจัยเพื่อแสดงการทำอาหารให้ชมใครก็คงจะลำบากไม่น้อยจริงไหม?

สุดท้ายจึงเกิดอาชีพที่เรียกว่า [ สตรีมเมอร์ ] อันเป็นคำศัพท์ของคนยุคแรกเริ่มให้พวกเขา [ ไลฟ์ ] ถ่ายทอดสดการทำอาหาร หรืออัด [ คลิป ] ลงช่องในเว็บที่ทางสถาบันสร้างขึ้นมาเพื่อศึกษา

โดยแรกเริ่มการถ่ายทอดสดเหล่านั้นเพียงเพื่อที่จะศึกษาการนำวัตถุดิบมาปรุงอาหาร นานวันเข้าด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และด้วยตัวเสริม [ 5ST (5 Senses Testing) ] ที่สามารถทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้า รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ของผู้ชมสามารถรู้สึกได้ผ่านการรับชมการไลฟ์ มีหรือที่ผู้คนจะไม่รู้สึกสนุกสนานไปกับมัน

เหล่านักวิจัยยอมรับว่าไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าช่องที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อให้พวกตนศึกษาวิธีการทำอาหารของเหล่าสตรีมเมอร์จะก่อเกิดอีกหนึ่งสายงานอันโด่งดังกลายเป็นช่องที่ผู้คนให้ความสนใจอันดับหนึ่งของจักรวาล บรรดานักลงทุนมาขอซื้อช่องพวกเขาต่างเสนอข้อตกลงอันแสนหอมหวานให้มากมาย ทุกคนต่างเสนอชื่อร่วมลงทุนพัฒนาช่อง

และแล้ว [ กาลาเซียทูป (Galaxia Tube) ] ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น…

สมาชิกของช่องมีสิบนับร้อยล้านคนทั่วจักรวาล พวกเขาสามารถลงสิ่งที่ตนถ่ายทำออกมาได้ ทำให้นอกจากรายการอาหาร พวกเขาเริ่มต้นถ่ายทำคลิปท่องเที่ยวทั้งในและนอกดาวเคราะห์ บางคนนั่งไลฟ์พูดคุย บางคนไลฟ์เล่นเกมที่ในโลกเสมือนอันแสนกว้างใหญ่ หรืออาจแสดงความสามารถอันแสนพิเศษของตนไม่ว่าจะการเล่นดนตรี การร้องเพลง หรืองานศิลปะทั้งหลาย

เหล่าผู้เดินทางสายการแสดงและดนตรี หากมีแมวมองให้ความสนใจพวกเขาจะถูกเชื้อเชิญให้กลายเป็น [ สตาร์ ] หรืออีกนัยหนึ่งคือดารานักแสดงและไอดอลที่คนยุคแรกเริ่มรู้จักกันดีนั่นเอง

ทว่าหมวดของช่องที่ยังคงโด่งดังที่สุดของกาลาเซียทูปอันดับหนึ่งยังคงเป็นการทำอาหาร โดยเฉพาะผู้คนที่ชอบปรุงอาหารแบบคนยุคแรกเริ่ม

กระนั้นใช่ว่าจะมีแต่คนชอบพวกอาหารปรุงยุคแรกเริ่มไปจนหมดเพราะบางอย่างมันช่างไม่อร่อยเอาเสียเลย เค็มเกินไปบ้าง เปรี้ยวเกินไปบ้าง เผ็ดมากเกินจนกระเพาะทะลุต้องไปโรงพยาบาลบ้าง มีน้อยนักที่ทำออกมาแล้วทานได้โดยไม่ติดขัดอะไร…

หากให้เลือกพวกเขาขอกลับไปทานอาหารเหลวแทนเสียจะดีกว่า…!!

#เจ้าวาฬแก้มตุ่ย

บทที่ 1 l เวล (Whale)

บทที่ 1

เวล (Whale)

โลกสีฟ้าครามของท้องทะเลไร้ซึ่งสีเขียวของป่าไม้เขียวชอุ่มเหมือนในอดีตกาล เมื่อก้าวข้ามมองผ่านหมู่มวลเมฆชั้นบรรยากาศ พลันเห็นดินแดนที่เหล่าผู้คนอาศัยอยู่เหนือน้ำและใต้น้ำของ [ มหานครบลูมาเรีย ] มหานครอันแสนทันสมัยเป็นที่สุดของโลกในยุคดวงดาวที่ xxxxx

ภาพของตึกรามบ้านช่องอันแสนทันสมัยประหนึ่งหลุดมาจากภาพยนตร์ไซไฟในยุคแรกเริ่ม ไม่ว่าจะรถลอยฟ้าหรือโดรนส่งของ ทว่าโทนสีของมหานครบลูมาเรียแห่งนี้กลับออกไปทางสีขาวตัดฟ้าดูเป็นประกายไม่ต่างจากเพชร ดูสวยงามชวนมอง ของตกแต่งส่วนใหญ่หรือก็เน้นความเป็นทะเลไม่ว่าจะเปลือกหอย ปะการังหรือไข่มุกไม่ว่าจะเป็นนครบนบกหรือนครใต้น้ำ

นับว่าสมแล้วที่เป็นนครของผู้มีเชื้อสายของเผ่าเวร่า ผู้เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร…

กระนั้นในความงดงามของอาคารบ้านเรือน หากได้มองนานเข้าจะรู้สึกได้ว่ามันช่างเรียบง่ายนัก ทั้งยังรู้สึกสบายใจกับการมอง ไม่ได้มีแสงสีตระการตาเหมือนดั่งเมืองหลวงเอเดนแห่งดาวยูโทเปีย ทว่าด้วยความเรียบง่ายนั่นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่มักเดินทางมาท่องเที่ยวยังดาวบ้านเกิดของเผ่ามนุษย์เพื่อพักผ่อนและรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าสลดใจที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ดวงดาวที่เรียกว่า [ลาสต์เอนด์ ]

มหานครบลูมาเรียใช้น้ำเกือบ 80% ในการดำเนินชีวิต เส้นทางรถยังมี ทว่าเส้นทางน้ำกลับมีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น [ อควอแทรม (Aquatram) ] หรือเจ้ารถรางบนน้ำที่ใช้ในการโดยสารไม่ต่างจากรถเมล์ที่แสนจะตรงเวลาเป็นอย่างมาก หากถึงเวลาขับเคลื่อนจะไม่มีหยุดจนกว่าจะถึงเป้าหมาย

และถึงมหานครจะตกแต่งด้วยพวกปะการังกับไข่มุกเป็นส่วนใหญ่ ใช่ว่าจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวชอุ่ม มันคือนโยบายขององค์จักรพรรดิแห่งยูโทเปีย เพื่อให้โลกได้กลับมาสวยงามเหมือนคำบอกเล่าของท่านบรรพบุรุษ สิ่งใดที่สามารถทำลายชั้นบรรยากาศได้จะถูกกรองเป็นอย่างดี ดังนั้นควันที่ออกจากโรงงานจึงเป็นสีขาวเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไร้สิ่งใดเจือปน

กล่าวถึงผู้อาศัยสักหน่อย ผู้อาศัยที่นี่ส่วนใหญ่คือเผ่าเวร่า พวกเขาสามารถอาศัยอยู่บนบกและในน้ำได้แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ปลา อีกทั้งยังมีถึงสองสายพันธุ์ในเผ่าเดียวกัน โดยสายแรกจะเป็นผู้มีลักษณะคล้ายมนุษย์ยุคแรกเริ่มทุกประการ ยกเว้นแค่สีผม สามารถหายใจและพูดในน้ำได้ไม่ต่างจากอีกสายเลย

นอกจากนี้ยังมีบางคนสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้ อย่างเปลี่ยนช่วงล่างกลายเป็นหางปลา หรือมีพละกำลังมหาศาลเหมือนสายพันธุ์ของตน

ส่วนสายที่สองนั่นคือผู้ที่มีร่างกายประหนึ่งสัตว์ทะเล สามารถอาศัยอยู่บนบกได้โดยไม่รู้สึกขาดน้ำแต่อย่างใด มีเท้าเล็กๆ แทนที่หาง รวมถึงสวมใส่เสื้อผ้ากับเครื่องแต่งกายได้ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไป

เพราะงั้นเผ่าเวร่าสายที่สองน่ะจึงค่อนข้างเป็นเผ่าที่ทำให้เผ่าอื่นรู้สึกเอ็นดูไม่ต่างจากเผ่าบีสต์สายนุ่มฟูเลยล่ะ!

….

ณ สถานีอควอเทรน สถานีรถไฟทางน้ำประจำมหานครบลูมาเรียที่จะขนส่งผู้คนไปในและนอกนคร บริเวณทางขึ้นเทรนตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างอดไม่ได้ที่จะต้องเหลือบมองไปยังร่างเล็กร่างหนึ่ง…

อีกฝ่ายนั้นมีผมสีบลอนด์สว่างปลายผมสีฟ้าอ่อนเป็นลอนปล่อยยาวจนถึงเข่า ดวงตากลมโตแบบหางตาตกสีฟ้าสดสวย ริมฝีปากอวบอิ่มน่าจุมพิต ผิวหรือก็กระจ่างใส สวมเสื้อฮู้ดแบบโอเวอร์ไซซ์ตัวยาวสีขาวแขนยาวคลุมมือจนเห็นนิ้วโผล่ออกมานิดเดียว ส่วนข้างหลังของเจ้าตัวคือกระเป๋าสะพายสีฟ้าที่มีเจ้าตุ๊กตากระต่ายแสนน่ารักโผล่หัวออกมาเกาะขอบกระเป๋า คาดเดาว่าเป็นตุ๊กตาที่มีไส้ในเป็นหุ่นยนต์ประจำตัว หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แก้มหรือก็กลมเสียจนน่าบีบ

….

น่าสงสัยเสียจริงว่าถ้าบีบมันจะส่งเสียงดังปี๊บๆ หรือไม่กันนะ…

แม้เสื้อกับกระเป๋านั่นไม่ใช่แบรนด์ดัง แถมยังไม่ค่อยโด่งดังเท่าไหร่ ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าบนร่าง แต่พอมันอยู่บนร่างเล็กกลับดูเหมาะเสียจนหลายคนแอบคิดว่าน่าไปซื้อมาใส่บ้าง สักพักก็คิดได้ว่าถ้าซื้อมาสวมจะดูน่าเอ็นดูเหมือนเด็กน้อยคนนั้นไหมนะ?

อื้ม! คิดไปคิดมาคงไม่น่า!

เจ้าของร่างเล็กก้าวขึ้นอควอเทรน ถอดกระเป๋าออกมากอดหน้า มองวิวนอกหน้าต่าง ใครที่ขึ้นสายเดียวกันก็นึกอยากเข้าไปทัก แต่บรรยากาศรอบข้างกลับชวนให้รู้สึกว่าไม่น่าเข้าไปรบกวนช่วงเวลาส่วนตัวของเจ้าตัวน้อย จนพวกเขาลงสถานี อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ลง

เฮ้อออ น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักคนน่ารัก

สถานีแล้วสถานีเล่าผ่านไปจนบนเทรนตอนนี้ในโบกี้เดียวกันไม่เหลือผู้โดยสารเลยสักคน จนกระทั่งถึงสถานีส่วนตัวสถานีหนึ่งที่จะไม่เปิดให้ลงหากไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของซื้อตั๋วพร้อมแนบไลท์เบรนยืนยันตัวตน และผู้ลงสถานีนี้นั่นคือร่างเล็กผมสองสี มันเป็นสถานีเล็กๆ ที่ไม่มีร้านค้าหรืออะไรเลย มีเพียงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเกาะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป

ยืนรออยู่สักพักใหญ่ บางสิ่งก็พุ่งมาจากบ้านหลังนั้น มันมีรูปร่างไม่ต่างจากปลาโลมาสีฟ้าสดสวย เมื่อมันจอดลงเหนือพื้นน้ำด้านหน้าอีกฝ่าย ดวงตาสีดำเรืองแสงกะพริบปิ๊บๆ บริเวณส่วนโค้งพลันเปลี่ยนกลายเป็นพื้นที่สำหรับนั่ง หลังร่างเล็กนั่งลง เกาะบริเวณพื้นที่สำหรับจับ มันก็ออกตัวพุ่งกลับไปยังเกาะแห่งนั้นทันที

เดลฟีนเอนจิน (Delphine Engine) ที่ร่างเล็กใช้สำหรับโดยสารเข้าจอดในโกดังสี่เหลี่ยมขนาดเล็กข้างเกาะก่อนที่ประตูโกดังขนาดใหญ่จะปิดตัวลง ประตูถูกเปิดออก สองเท้าเหยียบลงบนผืนทรายสีขาวสะอาดมีคลื่นสาดซัดตลอดเวลา พอเดินอีกนิดหน่อยจะเจอพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม

ตรงหน้าร่างเล็กนั่นคือบ้านสองชั้นสีขาวที่มีหลังคาสีฟ้าอ่อนดูเรียบง่ายและดูผ่อนคลาย ภายในบ้านหรือตกแต่งแบบเรียบง่ายไม่ต่างกัน เน้นโทนสีขาวกับสีฟ้า ตัดด้วยสีเขียวของต้นไม้ ถึงจะไม่ใช่ต้นไม้ของจริงแต่มันก็ทำให้บ้านดูสวยขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

และถึงบ้านจะดูสวยและน่ารักมากแค่ไหน มันก็ไม่อาจเด่นเท่าต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีเตียงชิงช้าจากหวายสังเคราะห์ สานเป็นเตียงทรงกลมคล้ายตะกร้าสำหรับพักผ่อนห้อยอยู่ข้างบ้านได้เลยสักนิด…

มันเป็นต้นไม้ที่มีพวงดอกไม้สีม่วงยาวดูสวยงามน่าหลงใหลจนตอนรู้ว่ามันมีพิษซ่อนอยู่ทำให้หลายคนค่อนข้างตื่นตะลึง และด้วยความงดงามที่แฝงความอันตรายนี้ทำให้เหล่านักวิจัยตั้งชื่อให้มันว่า [ ระย้าม่วง ]

แต่ถ้าคนยุคแรกเริ่มมาเห็น พวกเขาจะรู้จักมันดีในชื่อ [ วิสทีเรีย ] …

ต้นวิสทีเรียต้นนี้อายุอยู่สามถึงสี่ร้อยปี สูงเกือบสามสิบเมตรต่างจากในอดีตต่อให้ปลูกติดทะเลก็ตาม คาดเดาว่าเป็นผลพวงจากปุ๋ยกับอากาศบริสุทธิ์แตกต่างจากในอดีตกระมัง…

อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นค่อยไว้ว่าทีหลังเถอะ

เพราะสิ่งที่ร่างเล็กตอนนี้สนใจคือโซฟาตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ว่าแล้วก็ไม่รอช้ารีบทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มสีขาวตรงหน้าทันที…

“ถึงบ้านสักที~”

[ เหนื่อยหน่อยนะฮะโฮสต์! บันนี่ขอแนะนำให้โฮสต์นั่งพักก่อนสัก 10-15 นาที ก่อนไปอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้นฮะ! ]

“อื้อ ขอบคุณนะบันนี่…”

เวล (Whale) ชายหนุ่มเอ่ยกับเจ้าหุ่นกระต่ายแสนน่ารักที่บินออกมาจากกระเป๋าสะพายด้วยความเหนื่อยอ่อน

….

ใช่ คุณอ่านไม่ผิด นี่ไม่ใช่ ‘เธอ’ แต่เป็น ‘เขา’ ต่างหาก…

และด้วยรูปร่างหน้าตาที่งดงามเกินมนุษย์มนาทั่วไป มั่นใจได้เลยว่าสาเหตุของสายตาตลอดการเดินทางกลับมาบ้านหลังออกจากโรงพยาบาล คงมีแต่คนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงแน่นอน…

“เฮ้อออออออออ….”

นึกแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

บันนี่ลอยมาลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู มันคือหุ่นยนต์ AI อัจฉริยะที่แสนจะหายากแถมยังราคาแพงที่เวลได้รับมาจากพ่อกับแม่บุญธรรม มันมีรูปร่างคล้ายตุ๊กตากระต่ายสีขาว สวมผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินที่มีชายด้านหลังแยกเป็นสองแฉกบุขนนุ่มนิ่ม ตรงกลางคอคือดาวดวงน้อยที่ติดโบขนาดใหญ่สีชมพูอ่อน

เครื่องแต่งกายของบันนี่เป็นเวลที่เลือกให้เอง น่ารักใช่ไหมล่ะ มองกี่ทีก็อดภูมิใจไม่ได้จริงๆ หากเป็นสมัยก่อนคงโดนมองไปแล้วเรื่องที่เป็นผู้ชายแต่กลับชอบของน่ารักแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรแล้ว

เขาจะชอบจะทำอะไรก็เรื่องของเขา!

อีกเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือ…มันยากจะทำใจให้ชินกับภาพลักษณ์ของตนในปัจจุบัน ในเมื่ออดีตกับตอนนี้ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว จากผมสีดำขลับกลับกลายเป็นสีบลอนด์กับฟ้าที่ต่อให้ตัดสั้น เจ้าส่วนสีฟ้าก็จะไม่หายไป ดวงตาที่ควรเป็นสีน้ำตาลก็กลายสีฟ้าสวยไม่ต่างจากเพชรเม็ดงาม

อ่ะ หากคิดว่าจบแล้ว ไม่ มันยังไม่จบ ในตาของเขาน่ะมันมีดวงตารูปดอกไม้สี่แฉกสีขาวแทนตาดำด้วย!!

ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ชินเด็ดขาด!!!

….

ทำไมกันนะ ทำไมต้องให้ความทรงจำของเขากลับมาด้วย ทำไม… ถ้าเกิดลืมต่อไปป่านนี้คงใช้ชีวิตต่อไปอย่างสงบแล้ว ทำไมถึงต้องทำให้เขาจำขึ้นมาได้ด้วยกันล่ะ ทำไมกัน…

เวลเม้มปากยกแขนปิดตานึกย้อนกลับไปถึงอดีตเมื่อนานมาแล้ว…

อดีตที่ไม่อาจหวนคืนกลับมา…

ความจริงแล้วนั้นเวลไม่ใช่คนของยุคนี้ เขาเป็นคนจากยุคแรกเริ่มแบบตัวจริงเสียงจริงที่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ เขาเกิดช่วงยุค 20XX ยุคที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินชีวิต มีหุ่นยนต์ AI คอยช่วยเหลือแต่ไม่ได้ทันสมัยหรืออัจฉริยะเทียบเท่าบันนี่ เป็นรุ่นที่ต้องป้อนคำสั่งแถมมีรูปลักษณ์แบบเดียวกันทั่วโลก

ยุคสมัยของเขานับว่าเป็นยุคที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งจนทางการต้องมีคำสั่งปรับเปลี่ยนบ้านเมืองให้ยกสูงขึ้น กระนั้นก็ยังมีบางส่วนอาศัยอยู่พื้นที่ต่ำเช่นเดิมเนื่องจากไม่มีเงินมากพอจะจ่ายให้แก่ทางการเข้ามาช่วยเหลือ

เวลเป็นคนชอบหมกตัวเองอยู่แต่ภายในบ้าน ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ รับจ้างตัดคลิปสไตล์ใส่กราฟิกแอนิเมชันลง มายทูป(Mine Tube) เรียกว่ามีแต่รีวิวว่างานดีงานเร็วจนมีลูกค้าจ้างงานเขาเยอะมาก

แน่นอนว่าเว็บมายทูปคือเว็บในอดีตที่ล่มสลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

หากวันไหนเขาไม่มีงานตัดต่อ เขาจะลงไปเป็นผู้ช่วยคุณแม่ทำอาหารอยู่ในครัวอันเนื่องจากคุณแม่คนสวยเปิดร้านเล็กๆ สไตล์ทีแลนด์ผสมเจแลนด์ ส่วนคุณพ่อทำงานบริษัทยักษ์ใหญ่ พี่ชายเป็นไอดอลชื่อดังอยู่ซีแลนด์ น้องชายเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยชื่นชอบการแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ขัดกับงานอดิเรกของเจ้าตัวเป็นที่สุด

เวลยังจำถึงอาการปวดหลังกับการอดหลับอดนอนในสมัยก่อนเพื่อเงินได้ดี ถึงจะบ่นว่าไม่อยากทำงานแล้ว แต่พอได้เงิน อะไรๆ ก็ดีไปหมดทุกอย่าง

แน่นอนว่าที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คือ พี่นิล รุ่นพี่คนสนิทที่เรารู้จักกันตั้งแต่มัธยมปลาย ผู้ที่เปลี่ยนสถานะจากรุ่นพี่รุ่นน้องของพวกเรากลายเป็นคนรักหลังเข้ามหาวิทยาลัยลากยาวไปยันเรียนจบ

เขาใช้ชีวิตอยู่กับพี่นิลตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย และขึ้นชื่อว่าคนรัก ย่อมมีการทะเลาะกันแน่นอน ทว่าเราจะทะเลาะกันด้วยเหตุผล ถ้าให้ดีคือคุยกันให้จบในวันนั้นเพื่อที่ปัญหาจะได้ไม่ลากยาวไปวันอื่นจนเกิดอาการตึงใส่กัน

พี่นิลน่ะดีกับเขามากจริงๆนะ… ดีจนเวลอดคิดไม่ได้เลยว่าชาติก่อนเขาต้องทำบุญมากแค่ไหนหรือว่าตนไปทำการกู้ชาติมากันถึงได้ผู้ชายแสนดีคนนี้มาครอบครอง พี่นิลของเขาน่ะนับว่าเป็นผู้ชายสายคลั่งรักเลยก็ว่าได้ หากไม่ห้ามคงได้เปย์หนักจนต้องปวดหัว แถมตอนทะเลาะกันอีกฝ่ายยังไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาเลยสักครั้ง ถ้ายอมเขาได้คงยอมหมดทุกเรื่อง…

เคยมีคนพูดเรื่องการคบของพวกเขาไม่น้อย เขาเป็นแค่ลูกชายร้านอาหารที่มีพี่ชายเป็นคนดัง ต่อให้นับว่าร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยเทียบเท่าพี่นิลที่เป็นถึงว่าที่ประธานบริษัทของตระกูลคนถัดไป ทว่าคำว่าไม่เหมาะสมนั่นพวกเราไม่เคยสนใจมันเลยแม้แต่น้อย ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

เวลรู้ดีว่าความฝันของพี่นิลคือเป็นนักแคสเกม ไม่ใช่นักธุรกิจ ทำให้เมื่อใดที่พี่นิลว่างจากงาน เขาจะไม่รับงานตัดต่อเพื่อมานั่งมองและให้กำลังใจอีกฝ่าย รวมถึงช่วยตัดคลิปลงช่องให้ มีบ้างที่เล่นด้วย ติดอย่างเดียวคือเล่นห่วยจนต้องให้พี่นิลแบกตลอดเลย

พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อดยิ้มออกมาเสียไม่ได้

อา…ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ช่างน่าคิดถึงเสียจริง…

….

อย่างไรก็ตาม ความสุขนั่นไม่ได้อยู่ยาวเสมอไป…

ใครมันจะคิดกันว่าช่วงที่พ่อแม่กับเจ้าน้องชายเดินทางไปเจแลนด์เพื่อไปเข้าร่วมแข่งขันมอเตอร์ไซค์ ส่วนพี่ชายที่สัญญาว่าจะมาอยู่ด้วยกันกลับมาไม่ได้เพราะต้องเดินทางไปรับรางวัลที่ต่างประเทศ แถมพี่นิลจำต้องบินไปคุยงานที่ต่างประเทศนั่นน่ะ…

ใครมันจะคิดกันจริงไหม…

ใครมันจะคิด…ว่ามันจะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในชีวิตของเขากัน…

เวลไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ตนออกมาซื้อของนอกบ้านกลับไปลุงกับป้าคนสนิทเลย วันนั้นเขาหาซื้อของไม่ได้ แถมชะล่าใจคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ได้มีคำเตือนอะไรสักหน่อย เลยตัดสินใจลงไปซื้อของที่ร้านค้าที่อยู่ต่ำกว่า

หลังออกจากร้านกลับมีเงาดำพาดผ่าน ดวงตาสะท้อนภาพของอุกกาบาตพุ่งใส่เมืองข้างล่าง แรงระเบิดนั่นทำร่างกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงแถวนั้นจนร่างกายปวดร้าว อุกกาบาตหลายต่อหลายลูกพุ่งลงมาทำลายทุกสิ่ง เสียงสัญญาณเตือนภัยระดับห้าดังไม่พอ ยังมีสัญญาณเตือนภัยเรื่องอุทกภัยอีก เขาจำต้องรีบแบกร่างอันบอบช้ำหนีจากคลื่นน้ำ

ด้วยสภาพร่างกาย ไม่ว่าจะวิ่งแค่ไหนก็ไม่อาจหนีทัน คลื่นน้ำที่มีขนาดไม่ต่างจากสึนามิสาดซัดร่างกายจนกระเด็นไปกระแทกตึกแถวนั้นและอีกหลายอย่างจนไม่อาจเก็บกักความเจ็บปวดนี่ได้อีก ประกอบกับความตกใจกับสถานการณ์เลวร้ายนี่ทำให้เขาเผลอกลืนน้ำเข้าไปหลายอึกจนเริ่มหายใจไม่ออก ร่างกายไร้เรี่ยวแรงพาตัวเองขึ้นไปเหนือน้ำ ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นไปทั่วร่าง ความหวาดกลัวเริ่มกัดกินจิตใจ

ภาพความทรงจำวัยเยาว์หลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำ…

เขายังอยากกอดและบอกรักพ่อกับแม่ให้มากกว่านี้…

เขายังอยากใช้เวลากับพี่น้องให้มากกว่านี้…

เขายัง…

เขายัง…

เขายังอยาก….

อยากพบหน้าทุกคนกับพี่นิลอีกครั้ง….

และนั่นคือสิ่งสุดท้ายเขาจดจำได้ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำมืดไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีก…

.

.

.

กาลเวลาผันผ่านไปนานเพียงใด เขาไม่อาจรับรู้ และใครเล่าจะคาดคิดอีกว่าเขาที่คิดว่าตนเองจะต้องจบชีวิตในเหตุการณ์เลวร้ายนั่นกลับลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง จากร่างกายสูงโปร่งสมส่วนของเพศชายกลับกลายเป็นเรือนร่างบอบบางดูน่าทะนุถนอมไม่ต่างจากเด็กสาว…

ความทรงจำในอดีตเลือนหายไปราวกับถูกสายน้ำพัดพา หลงเหลือเพียงสิ่งเดียวที่เขาจดจำได้หลังลืมตาตื่น…

เวล (WHALE)…

◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌

น้งเวลของมัมม้าาาาาาา ไม่ร้องนะคะรู๊กกกกกกกกก TT //กอดๆๆๆ

#เจ้าวาฬแก้มตุ่ย

บทที่ 2 l ความทรงจำและความสิ้นหวัง

บทที่ 2

ความทรงจำและความสิ้นหวัง

นอกจากชื่อ สิ่งที่รับรู้เป็นอย่างต่อมานั่นคือ ‘เขาอยู่ในน้ำ’ …

นอกจากอยู่ในน้ำคืออยู่ใต้ซากบางอย่าง ไม่ได้รู้สึกทรมานหรือรู้สึกอึดอัดจากการอยู่ในน้ำ สามารถหายใจได้ตามปกติ เมื่อลองขยับปากเอ่ยคำพูดออกมาสามารถทำได้ตามปกติราวกับอยู่บนบก เรี่ยวแรงถดถอย ทำให้กว่าตนจะออกมาจากใต้ซากนั่นได้ มือเล็กนั่นก็เต็มไปด้วยแผลถลอกและรอยแดงจากการงัดแงะเสียแล้ว…

ข้างใต้ซากนั่นคือเศษซากปรักหักพังที่มีตะไคร่น้ำกับปะการังเกาะอยู่จนแทบดูไม่ออกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่ามนุษย์ เวลตัดสินใจว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ สอดส่องสายตามองรอบกายด้วยความฉงน

ไม่ว่าจะมองไปทางใดเขาก็เจอเพียงน้ำ น้ำ แล้วก็น้ำเท่านั้น…

ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล…

เวลซึ่งไร้ความทรงจำทำได้เพียงว่ายน้ำไปเรื่อยเปื่อย จับปลาเข้าปากทานแบบสดๆ เพื่อประทังชีวิต ว่ายจนเหนื่อยก็นั่งพักบนโขดหินใต้ทะเลไม่ก็บนซากปรักหักพังเหล่านั้น ร้องเพลงที่โผล่ออกมาในห้วงความทรงจำ หลบหนีสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่อันแสนดุร้ายที่พยายามพุ่งใส่ทุกครั้งที่เจอหน้า

โดยไม่รู้เลยว่าพวกมันแค่พุ่งเข้าหาเพราะอยากเล่นด้วยจนกระทั่งมารู้ทีหลังนั่นแหละ…

ครั้นเจอเกาะ กลับพบว่าเกาะนั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้ใบหญ้าและพืชที่ตัวเขาในตอนไร้ความทรงจำไม่อาจจำได้

พอตอนจำได้ถึงได้รู้ว่ามันคือต้นมะพร้าวนั่นเอง

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนเข้าปีที่สองหลังลืมตาตื่น เขาได้เจอยานบินที่ลอยลงมาจอดลงบนเกาะนั้น เขาเลือกไปแอบซ่อนอยู่หลังโขดหินริมทะเลเพื่อแอบมองคนแปลกหน้าทั้งสอง ซึ่งพวกเขาคือสามีภรรยาที่ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ในสถาบันวิเคราะห์ข้าวของยุคแรกเริ่ม

เวลไม่รู้เลยว่าสถานที่ที่ตนอยู่ตอนนี้คือพื้นที่ที่ถูกกั้นด้วยโดมบาเรียที่จะไม่ยอมให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาภายในเขตอารยธรรมโบราณที่จำต้องศึกษาและค้นหาข้าวของยุคแรกเริ่มมาฟื้นฟู รวมถึงไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามารวมถึงไม่ให้สร้างดินแดน

ทว่านั่นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ…

เดิมทีตัวเวลที่ตอนนั้นยังคงไร้ความทรงจำควรระวังคนแปลกหน้าเฉกเช่นตอนระวังเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งท้องมหาสมุทร…

แต่ไม่รู้ทำไม…

ทำไมเมื่อได้เห็นหน้านักวิจัยทั้งสอง เขากลับถึงยินยอมตกลงรับคำเชื้อเชิญให้มาอยู่ที่นี่โดยไร้ความคิดขัดขืน…

….

และก็เป็นเวลคนที่ความทรงจำกลับมาแล้วสามารถตอบได้ เพราะว่าใบหน้าของพ่อแม่บุญธรรมน่ะ…ไม่ต่างจากพ่อแม่ตัวจริงของเขายังไงล่ะ จะนิสัย ไลฟ์สไตล์หรือความชื่นชอบช่างเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกัน

สองสามีภรรยามิวเรียลไม่สามารถมีบุตรได้ ทว่าการได้พบเวลมันไม่ต่างจากการได้รับความเมตตาจากเทพแห่งจักรวาล พวกเขาเอ็นดูเด็กน้อยตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อให้เพื่อนช่วยทำเรื่องยืนยันตัวตนของเวลเสร็จสิ้น ไม่รอช้ารีบรับมาเป็นบุตรบุญธรรม คอยสอนสั่งและมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยม

เขากลายเป็น เวล มิวเรียล นับจากนั้น…

พ่อบุญธรรมของเขาเป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ทุกคนในสถาบันวิเคราะห์ข้าวของจากยุคแรกเริ่มให้ความนับถือ มีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์ ขณะที่คุณแม่เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ พวกท่านเล่าว่าตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ทำงานร่วมกันได้ไม่นานก็ประกาศแต่งงานกันทันที

ไม่นานที่ว่านี่คือห้าสิบกว่าปีน่ะนะ…

ร่างเล็กหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงความสุขยามใช้ชีวิตร่วมกัน ภาพเหตุการณ์ตอนใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขนั่นยังคงชัดเจน ก่อนจะนิ่งเงียบ ปากเริ่มเม้มแน่น ความเศร้าตีตื้นขึ้นมาจนแทบไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความทุกข์ตรมได้…

ความสุขของเขา…มันอยู่ได้แค่สามปี

แค่สามปีที่สามารถมีความสุขได้ ก่อนจำต้องพลัดพรากจากกันอีกหน…

ยาน [ ยูนิเพลน (Uniplane) ] หรือเครื่องบินที่ไม่ต่างจากยานอวกาศขนาดเล็ก มีไว้เพื่อใช้ขนส่งผู้คนข้ามดวงดาว เวลจำได้ดีว่าพ่อแม่บุญธรรมของเขาส่งข้อความมาบอกว่ากำลังจะเดินทางกลับมาบ้านหลังติดงานอยู่ที่สถาบันนานหลายเดือน

เขานั้นแสนดีใจเป็นนักหนาหลังได้รับข้อความ หัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่กับบันนี่ พวกท่านสัญญากับเขาไว้ว่าหลังจากกลับจากสถาบันจะพากันไปท่องเที่ยวกันตามประสาครอบครัวเพื่อเป็นรางวัลแห่งความพยายามของเขาในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เวลเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่กับบันนี่ ใจเต้นระรัววาดฝันถึงการเดินทางอันแสนสุข

….

ทว่าใครเล่าจะรู้…

ใครเล่าจะคาดคิด…ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อันน่าสลดขึ้น เมื่อพวกลูกหลานคนรวยแอบนำยานอวกาศลำเล็กของครอบครัวออกมาจัดการแข่งบินทั้งที่ไม่มีใบรับรองและไม่เปิดระบบนำทาง ไม่สนใจคำเตือนของ AI ประจำตัว พร้อมสั่งปิดเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องไปถึงหูครอบครัว

ขับเร็วเกินกำหนดไม่พอยังขับผาดโผนปาดหน้ายานยูนิเพลน ไม่พอ ยานลำหนึ่งที่ไม่คิดชะลอความเร็วลง ตัวปีกของมันกระแทกเข้ากับส่วนปีกของยานเป็นเหตุให้เกิดการเสียหลัก ต่อให้คนขับได้รับก่อนสอนสั่งมาเป็นอย่างดีก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์นี้ได้ จนเป็นเหตุให้ยานพุ่งเข้าใส่ดาวเคราะห์น้อยและก่อเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด

และใช่ เขาสูญเสียครอบครัวอีกหน…

การสูญเสียนี้ทำให้เกิดการช็อกอย่างรุนแรง ความทรงที่เลือนหายไปหวนคืนกลับมาทั้งที่ไม่ต้องการมันอีก เวลกรีดร้องเสียงดังลั่นบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะรับได้ ความบ้าคลั่งและความทรมานที่เกินขีดกำหนดของร่างกายส่งผลให้เจ้าบันนี่ทำการติดต่อโรงพยาบาลเป็นการด่วนเพื่อรักษาชีวิตของเจ้านายของมัน

หมอกับหุ่นยนต์แพทย์ทำการบุกเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นอาการของเขาก็ไม่รอช้ารีบฉีดยาระงับให้และรีบพาขึ้นยานตรงกลับโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาโดยเร็ว แน่นอนว่าจิตใจที่พังทลายของเขาทำให้การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก

เขาสูญเสียครอบครัวไปถึงสองครั้งเลยนะ…

ได้ยินมั้ยว่าสองครั้ง!!!

เขาสูญเสียไปสองครั้ง!!!!

สองครั้งที่ต้องสูญเสียคนสำคัญ!!!!! จะไม่ให้เขาสติแตกได้ยังไงกัน!!!!!!

เขาถูกกักตัวอยู่แต่ในโรงพยาบาล วันๆ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ บ้างก็หลุดสาปแช่งพวกที่บังอาจพรากพวกเขาไปจากตน กระทั่งตอนเพื่อนสนิทของพวกท่านที่มักมาเล่นกับเขาที่บ้านมาเยี่ยมถึงโรงพยาบาล เขาก็ยังคงหลอกลวงตัวเองว่าคนสำคัญของตนยังอยู่ ยังไม่จากไปไหนไกล ถามพวกเขาเสียงเจื้อยแจ้วว่าเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะกลับมาบ้าน เขากำลังรอไปเที่ยวของนอกด้วยกันอยู่ หลอกตัวเองอยู่อย่างนั้นจนทุกคนรู้สึกสงสารในโชคชะตาของเขา…

‘ไม่ต้องคิดมากนะเวล… ต่อให้หนูไม่สามารถเอาคืนพวกมันได้ ลุงจะเป็นคนเอาคืนพวกมันให้หนูเอง…’

คุณลุงลูอิส เพื่อนสนิทที่สุดของพ่อกับแม่ให้สัญญาแก่เขาอย่างนั้น…

ตลอดสองปีครึ่งแห่งการรักษามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายที่เขาพลาดหมดทุกอย่างเพราะสภาพจิตใจแหลกสลาย งานศพของพวกท่านก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เป็นคุณลุงลูอิสกับเพื่อนๆ ของพ่อกับแม่ที่ไปเข้าร่วมและนำอัฐิมาฝากไว้กับหุ่นยนต์เฝ้าบ้านแทน

การสูญเสียครั้งนั้นทำให้เขาได้รับเงินชดเชยคนละสิบกว่าล้านแกลจากเหล่าพ่อแม่ของเด็กแว๊นนรกแตกนั่น ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กแว๊นที่ต้องจ่าย เจ้าลูกคนรวยที่บ้าจัดงานนี่ก็ต้องจ่ายเช่นกัน รวมเงินทั้งหมดที่เขาได้รับอยู่ที่ประมาณสองร้อยล้านกว่าแกล (Gal) ซึ่งเป็นค่าเงินในยุคปัจจุบันที่เขาเดาว่าตัดคำมาจาก ‘Galaxy’

เด็กที่ก่อเรื่องเลยช่วงเบบี้ (Baby) ช่วงอายุเด็กเล็กของจักรวรรดิมาได้ไม่นาน กฎหมายคุ้มครองเบบี้ไม่อาจใช้ได้ตามคำเรียกร้องของพ่อแม่ส่งผลให้พวกเด็กๆ ถูกส่งไปอยู่สถานที่คล้ายสถานดัดสันดานที่ค่อนข้างเคร่งครัด ส่วนตัวพ่อแม่ที่ต้องจ่ายเงินไปหลายร้อยล้านแกลให้กับการสูญเสียครั้งนี้ พวกที่ยังเชื่อว่าลูกตัวเองเป็นคนดียังโดนองค์จักรพรรดิตักเตือนและลงโทษให้ปลดจากฐานะชนชั้นสูง ยังโดนปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานเช่นกัน

ต่อให้เด็กพวกนั้นออกมาได้ คงไม่อาจบอกว่าตัวเองร่ำรวยได้อย่างเต็มปาก ดีไม่ดีอาจโดนบิดามารดารังเกียจด้วยซ้ำ

สงสารก็แต่พ่อแม่ที่นิสัยดีของเจ้าพวกนั้นนี่แหละ…

ช่วงดูอาการก่อนออกจากโรงพยาบาล หุ่นยนต์ทนายประจำบ้านได้รับอนุญาตให้เข้าพบเขาหลังพยายามยื่นเรื่องอยู่นาน กล่าวคือมรดกทุกอย่างของพ่อกับแม่ยกให้เขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังน้อย พื้นที่เขตนี้ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ รวมถึงเงินทั้งหมดในบัญชี พวกท่านยกทุกอย่างให้เขาทั้งที่พวกเราเพิ่งรู้จักกันได้เพียงแค่สามปี…

แค่สามปีเท่านั้น…

เวลจำได้ดีว่าตอนได้ยินตอนนั้นเขาปล่อยโฮหนักแค่ไหน เขาร้องไห้หนักเสียจนสัญญาณเตือนดังจนหมอกับพี่ๆ พยาบาลเข้ามาดูแล เพราะไม่ได้อาละวาด มีแค่ร้องไห้ พี่สาวพยาบาลเลยทำเพียงแค่ปลอดเขาเอาไว้แน่นๆ สิ่งเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวตอนนั้นมีแค่คำถาม…

ทำไม…

ทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย…!!!

ทำไมถึงต้องเป็นเขาที่ต้องมาสูญเสียอะไรซ้ำๆ แบบนี้กันด้วย!!!

ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม!!!!

ทำไม!!!!!!!!!!!!!!

สุดท้ายก็ไม่อาจหาคำตอบได้นอกจากร้องไห้กอดพี่สาวพยาบาลจนหมดสติไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

และนั่นทำให้เขาต้องอยู่ดูอาการไปอีกห้าเดือน จนได้ฤกษ์ออกวันนี้ หลังเดินเล่นในบลูมาเรียอยู่ครู่ใหญ่ก็กลับมานอนแหมะอยู่บนโซฟา ความทรงจำเก่าที่กลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเข้ามาแทนที่ แย่งชิงพื้นที่ของความทรงจำใหม่ทำให้ความรู้บางอย่างเลือนหายไป ทำให้เวลตอนนี้ไม่ต่างคนยุคโบราณที่กำลังตื่นเต้นกับยุคสมัยแห่งความก้าวหน้าอันแสนรุ่งเรือง

แน่นอนว่าเวลรู้ดี ตอนนี้เขาน่ะไม่ใช่มนุษย์ปกติอีกต่อไป แถมยังไม่ใช่เผ่าเวร่าสายพันธุ์ไหนทั้งสิ้น

ทว่าสายเลือดนั่นไม่สำคัญเท่าความเงียบเหงาของบ้าน…

บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้จะเป็นตอนเขาอยู่คนเดียวระหว่างรอให้พ่อกับแม่กลับบ้านก็ยังรู้สึกอบอุ่น ตอนนี้มันกลับเงียบเหงาเหลือเกิน…

เขากลับมาตัวคนเดียวอีกแล้ว…

[ โฮสต์ ไม่ร้องนะ บันนี่อยู่นี่แล้ว ]

“อื้อ…รู้แล้วล่ะ…ฮึก”

ปากบอกรู้แล้วแต่กลับไม่อาจห้ามน้ำตาได้ เจ้าบันนี่เลยขยับตัวเข้าไปซุกเพื่อให้โฮสต์ตัวน้อยของมันกอดเอาไว้แน่นๆแทน

[ โอ๋ๆ นะฮะโฮสต์ บันนี่จะปกป้องโฮสต์เองนะ ]

เจ้ากระต่ายตัวน้อยยังคงปลอบโฮสต์ของมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้น้ำตาจะยังคงไหลอยู่และไม่อาจยั้งมันได้ แต่อย่างน้อยคำปลอบนั่นก็ทำให้บนดวงหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผ่านไปไม่ถึงห้านาที เวลก็หยุดร้อง กลับมาเป็นคนเข้มแข็งอีกหน

คุณอาหมอบอกเขาไว้ว่าหากเขาร้องไห้จะทำให้พ่อกับแม่ท่านรู้สึกไม่ดี เพราะงั้นเขาต้องมีความสุขต่อไป จะมีความสุขให้เต็มที่ทั้งเพื่อตัวเอง เพื่อพี่ชาย เพื่อน้องชาย และเพื่อพี่นิลเช่นกัน!

สู้ๆ นะตัวเรา!! สู้ๆ นะเวล!!

[ ถ้ายังไงบันนี่ขอตัวไปเตรียมวัตถุดิบตามที่โฮสต์บอกก่อนนะฮะ! ]

“งั้นระหว่างนี้เราขอไปอาบน้ำก่อนละกัน คิดถึงห้องอาบน้ำจะแย่แล้ว”

[ รับทราบฮะ! ]

ร่างเล็กเดินขึ้นไปยังห้องของตน ข้างประตูมีป้ายที่ตกแต่งอย่างน่ารักเขียนเอาไว้ว่า ‘ห้องของเวลน้อย’ ที่คุณพ่อเขียนส่วนคุณแม่ตกแต่งให้เขา เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายใน เวลจำต้องกลั้นน้ำตาอีกรอบเมื่อภาพความทรงจำตอนอยู่ด้วยกันโผล่ขึ้นมา ภาพตอนเขาอ้อนขอให้นอนด้วยกัน หรือตอนที่พวกท่านมาปลุกจนตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

เขาจำต้องพยายามทำใจให้สงบ ท่องไว้ว่าหยุดร้อง ตอนนี้เขาต้องยิ้ม ต้องหัวเราะ ต้องมีชีวิตที่มีความสุขเพื่อทุกๆ คนให้ได้

“ฟู่…เยี่ยมมากเวล เก่งมากเวล นายทำได้ ฮึบ!”

คุณอาหมอบอกว่าให้ชมตัวเองเยอะๆ จะได้เข้มแข็งขึ้นล่ะนะ!

ร่างเล็กที่เข้มแข็งขึ้นแล้วสำหรับตอนนี้รีบวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำเข้าห้องอาบน้ำอันแสนทันสมัยไป ออกคำสั่งให้ ฮาว์ส AI ประจำบ้านเปิดน้ำให้และด้วยเทคโนโลยีอันแสนก้าวหน้า ไม่ถึงนาทีอ่างที่เคยว่างเปล่าตอนนี้กลับถูกเติมเต็มเป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งการแช่น้ำของเวลหากไม่ใช่เพราะมีเสียงเตือนของฮาว์สคงเพลินเสียจนหลับคาอ่างเป็นแน่…

“เกือบไปแล้วเรา… ขอบคุณนะฮาว์ส”

[ ด้วยความยินดีครับ ยังไงก็ดีใจที่มาสเตอร์กลับมายิ้มได้อีกครั้งนะครับ ]

“มาสเตอร์เหรอ? อา…เข้าใจแล้ว เพราะพวกท่านไม่อยู่แล้วนี่เอง”

[ ครับ ตามนั้นเลย… ]

ความจริงฮาว์สเองก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีเช่นกัน ภาพตอนนายน้อยตัวเล็กอาละวาดด้วยความเศร้าโศกและภาพตอนอยู่โรงพยาบาลตลอดสองปีครึ่งที่บันนี่ส่งมาให้มันเห็นทำให้ฮาว์สต้องระวังคำพูดเป็นอย่างมาก โชคดีที่นายน้อยของตนเข้าใจและอนุญาตให้เรียกว่ามาสเตอร์ได้และไร้ซึ่งอาการน่าเป็นห่วง

เวลยกยิ้มน้อยๆ ให้ฮาว์สก่อนเดินไปห้องเสื้อผ้า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คุ้นชินกับรูปลักษณ์ตอนนี้ ร่างเล็กหมุนไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ มองยังไงก็เหมือนมนุษย์เพศแทรป (??) หากไม่ลงน้ำก็คงไม่มีคนรู้ว่ามีความพิเศษของเผ่าเวร่า

นอกจากความสามารถคล้ายเผ่าเวร่า อายุของเขาที่นับตั้งแต่ตอนช่วงเกิดเหตุการณ์มหันตภัยก็ยาวนานหลายพันปี หากนับอายุตั้งแต่ตอนนั้นก็คือแก่สุดแล้วล่ะมั้งในชาวต่างดาวด้วยกัน…

อายุของยุคดวงดาวจะมีระยะอายุของมันเอง โดยมาตรฐานอายุขัยของทุกคนอยู่ที่เผ่าพันธุ์ของตน ทว่าช่วงเวลาแห่งการเจริญเติบโตช่วงแรกๆ นั้นคล้ายคลึงกันอย่างมาก

อายุ 0 ขวบ ถึง 100 ปี นับว่ายังเป็น [ เบบี้ (Baby) ] ต่อให้รูปร่างบางกลุ่มจะเจริญเติบโตประหนึ่งโตเต็มวัยแล้ว แต่บางกลุ่มยังคงมีรูปร่างไม่ต่างจากเด็ก ความคิดบางส่วนยังคงเป็นเด็กน้อยผู้แสนไร้เดียงสา และเพราะความขาวสะอาดนี้เลยทำให้กฎหมายคุ้มครองเบบี้ค่อนข้างแรงมาก

แต่ใช่ว่าตอนเป็นเบบี้แล้วกฎหมายจะยอมปล่อยผ่านทุกการกระทำ หากทำผิดขั้นร้ายแรงยังไงก็คือความผิด ไม่มีผ่อนปรนเพราะเป็นเบบี้แต่อย่างใด

อายุ 101 ปี ไปจนถึง 200 ปี นับว่าเป็น [ ทีเนจ (Teenage) ] หรืออีกนัยหนึ่งคือวัยรุ่นนั่นเอง กฎหมายนับว่าเริ่มแรงขึ้นมาหน่อย

อายุ 201 ปี ถึง 300 ปี คือ [ เอดา (Ada) ] วัยผู้ใหญ่ วัยที่ความคิดเติบโตเต็มที่ กฎหมายช่วงอายุนี้แรงมากเพราะถือว่าเป็นช่วงอายุที่มีวุฒิภาวะที่เหมาะสมแล้ว นับเป็นช่วงอายุที่ใครหลายคนจะแต่งงานกัน

ไม่ใช่ว่าไม่สามารถแต่งได้แม้เป็นเบบี้ แต่ช่วงเบบี้กับทีเนจจะเป็นช่วงที่ใครหลายคนสนุกสนานกับชีวิตและตามหาคนที่เหมาะสมกับตัวเองเสียมากกว่า

อายุ 301 ปี ถึง XXX ปี อย่าง [ เอ็มเอ (MA) ] ซึ่งเป็นวัยกลางคน ที่ไม่อาจกำหนดช่วงอายุได้อีกเพราะหลังจากนี้การเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่อาจวัดค่าได้อีก ใบหน้าและรูปร่างของแต่ละเผ่าจะเริ่มเปลี่ยนเพื่อบ่งบอกว่าเริ่มมีอายุมากแล้ว แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงอาจใช้ไม่ได้กับบางเผ่า

สุดท้ายคืออายุ XXX ปี ถึง XXX ปี ที่ถูกเรียกว่า [ ลาสต์ (Last) ] วัยชรา ช่วงอายุสุดท้ายของทุกคน เส้นผมจะเริ่มซีดลง และเท่าที่อ่านมาเหมือนว่าผมบางคนกลายเป็นสีขาวตั้งแต่ตอนเข้าสู่วัยชราได้ไม่นาน

อายุขัยมากสุดที่ถูกบันทึกลงเครือข่ายที่บันนี่บอกมาเหมือนจะเป็นเผ่านิกซ์ ส่วนอายุก็ราวๆ สองพันกว่าได้…

….

“เอาเป็นว่า…อย่าไปพูดถึงจะดีกว่าแฮะเรา…” เพราะถ้าพูดคือจะรู้สึกแก่มากแน่ๆ บอกเลอ…

ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รีบแต่งตัวแบบง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดแบบโอเวอร์ไซซ์สีฟ้ากับกางเกงขาสั้น รวบผมเป็นทรงดังโงะ ก่อนลงไปเตรียมทำอาหารสำหรับมื้อกลางวัน ทำเป็นลืมว่าก่อนหน้าตนพูดเรื่องอายุให้หมด

ก็แหม…อายุของเขามันเลยช่วงลาสต์ไปแล้วนี่นา บางทีอาจจะเกือบครึ่งหมื่นปีเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่พูดถึงนั่นแหละดีที่สุดเลย!

◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌◌

ต่อให้อายุของรู๊กจะเลยลาสต์ไปแล้วก็ไม่สำคัญ! เพราะยังไงน้งก็ยังเป็นเบบี้อยู่นะ! เป็นเบบี้ของมัมหมาคนนี้นี่ไง!!

#เจ้าวาฬแก้มตุ่ย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

เรื่องล่าสุด