บางแสน ชลบุรี

Drive-My-Car1.jpg

Drive My Car ห้วงเวลาแห่งการชำระล้าง เพื่อย้ำเตือนความหมายของการมีชีวิตอยู่ – THE STANDARD

*บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ Drive My Car*

Drive My Car สุดทางรัก ภาพยนตร์ชั้นยอด ผลงานการกำกับของผู้กำกับมากฝีมือ ริวสุเกะ ฮามากุจิ ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น Drive My Car ที่บรรจุอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น Men Without Women (ชายที่คนรักจากไป) ของนักเขียนชื่อดังระดับโลกอย่าง ฮารูกิ มูราคามิ 

นอกจากดัดแปลงมาจากหนังสือของนักเขียนชื่อดังอย่าง ฮารูกิ มูราคามิ แล้ว Drive My Car ยังกวาดรางวัลมากมายบนเวทีระดับโลก เช่น รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม, รางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม รวมไปถึงคว้ารางวัล Japan Academy Film Prize ในปีนี้ไปครองถึง 8 รางวัล ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า Drive My Car นั้นถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมเป็นอย่างมาก 

โดย Drive My Car ฉบับภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องราวของ ฮาฟูกุ (ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ) นักแสดง และผู้กำกับละครเวทีวัยกลางคน ที่สูญเสียชีวิตแต่งงานอันแสนสุข หลังจากที่ โอโตะ (เรกะ คิริชิมะ) ผู้เป็นภรรยาจากไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับทิ้งความลับและความเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้ให้ วันหนึ่งเขาตัดสินใจรับข้อเสนอกำกับละครเวทีที่ฮิโรชิมา และรับ มิซากิ (โทโกะ มิอุระ) หญิงสาวผู้เงียบขรึม ให้มาเป็นคนขับรถสีแดง ซึ่งในที่สุดเธอและรถสีแดงคันนี้จะกลายเป็นสถานที่เผยความลับ และปลดเปลื้องเรื่องราวต่างๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตของฮาฟูกุไปตลอดกาล

ถึงตัวภาพยนตร์จะโปรโมตว่าเป็นการหยิบเรื่องสั้น Drive My Car ที่อยู่ภายในเล่มมาเล่าในรูปแบบภาพยนตร์ แต่ลำพังเรื่องสั้นความยาวต้นฉบับเพียงแค่ 40 หน้า คงไม่สามารถขยายเรื่องราวออกมาเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวถึง 3 ชั่วโมงได้ ผู้กำกับและผู้เขียนบทร่วมอย่าง ริวสุเกะ ฮามากุจิ และ ทาคามาสะ โอเอะ จึงใช้วิธีการหยิบยกเรื่องราวจากเรื่องสั้นต่างๆ ในหนังสือ Men Without Women ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มูราคามิตั้งใจวางธีมเกี่ยวกับเรื่องของผู้ชายที่หญิงสาวจากไปด้วยเหตุต่างๆ หลากหลายรูปแบบ มาปรับเสริม เติมแต่ง ตีความใหม่ และดัดแปลงให้เข้ามาอยู่ในเส้นเรื่องเดียวกันของภาพยนตร์ 

แต่กระนั้นการทำ Drive My Car ออกมายาวถึง 3 ชั่วโมง ฮามากุจิก็แทบจะไม่ได้เพิ่มพล็อตหรือภูมิหลังต่างๆ จากเรื่องสั้นเหล่านั้นเลย แต่สิ่งที่เขาทำคือการเล่นกับ ‘เวลา’ ในเชิงเทคนิคของภาพยนตร์ ในขณะที่ทุกวันนี้เราคุ้นชินกับภาพยนตร์ที่มีการลำดับเรื่องด้วยความรวดเร็ว แต่ Drive My Car กลับเลือกที่จะดำเนินเรื่องราวเหล่านั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยฉากขับรถ ฉากบทสนทนา การถ่ายทอดสีหน้าท่าทางต่างๆ หรือแม้แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของตัวละคร ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ‘เวลา’ คือองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เป็นอย่างยิ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้

ถึงแม้จะใช้วิธีการเล่าที่นิ่งเรียบและค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ แต่ตัวภาพยนตร์ก็สามารถควบคุมจังหวะการเล่าเรื่องในช่วงต่างๆ ได้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ ตรงไหนที่ควรตัดเร็วก็เร็วเลย ตรงไหนที่ต้องทิ้งห้วงอารมณ์ให้ผู้ชมได้ซึมซับก็ปล่อยให้หน่วงช้าไปเลย โดยเฉพาะจังหวะการสนทนาของตัวละคร ที่เป็นหัวใจสำคัญในการสื่อสารอารมณ์ของตัวละครในห้วงเวลานั้น ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้พยายามจะตัดหรือไปเร่งเร้าอะไร ปล่อยให้บทสนทนาและช่องว่างเหล่านั้นค่อยๆ ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญที่ผู้ชมจะต้องพยายามซึมซับให้ได้ก็คือ ‘วิธีการเล่าเรื่องที่แฝงนัยแบบคู่ขนานของภาพยนตร์’ ที่แม้ว่าในภาพยนตร์ ตัวละครจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ตัวภาพยนตร์ก็จะมีไดอะล็อกจากบทละครเวที ลุงวานยา (Uncle Vanya) ของ แอนตัน เชคอฟ (Anton Chekov) ตีคู่และซ้อนทับกับเส้นเรื่องไปด้วย เป็นเหมือนเชือกที่ผูกเรื่องราวในภาพยนตร์เข้ากับบทละครเวทีที่ฮาฟูกุเคยแสดง และต้องรับหน้าที่กำกับ ทั้งหมดนี้มาปรากฏขึ้นทั้งในฉากการซ้อมบท ฉากแสดงจริง และที่สำคัญคือ เสียงอ่านบทจากเทปคาสเซตต์ในรถ ที่ภรรยาอัดเอาไว้ให้ฮาฟูกุใช้ซ้อมบทพูดในรถ ราวกับว่าสิ่งนั้นคือวิญญาณที่ตามหลอกหลอนของภรรยาผู้ล่วงลับก็มิปาน หรือแม้แต่การสะท้อนเรื่องราวที่เป็นเสมือนตัวแทนความเจ็บปวด ความทุกข์ และความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ของฮาฟูกุ ที่ยังคงคั่งค้างและลอยตลบอบอวลอยู่ภายในรถ ไม่ยอมจางหายไปไหน

ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือการสะท้อนให้เห็นว่า โลกของเราก็ไม่ต่างจากละครเวที และเราทุกคนก็ไม่ต่างจากตัวแสดง เราทุกคนล้วนมีฉากหน้าและบทบาทเป็นของตัวเอง และจำต้องแสดงไปตามบทบาทของตัวเองตามแต่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด หรือใครสักคนกำกับเอาไว้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และต่างคนต่างก็ต้องการค้นหาคำตอบเหล่านั้น เพื่อตอบคำถามบางอย่างในชีวิตของตน ซึ่งบางครั้งความทุกข์ทรมานในชีวิตก็มาในรูปแบบของการตั้งคำถามที่มุ่งหาคำตอบที่ไม่มีวันจะล่วงรู้ จึงทำให้คนเราจำต้องยอมทนทุกข์ทรมาน โดนสิ่งเหล่านั้นกัดกินและตามหลอกหลอนไปจนกว่า ‘โรงละครแห่งชีวิต’ จะปิดม่านลง

อีกจุดที่ต้องชื่นชมเป็นอย่างมากคือ การแสดงของสองนักแสดงนำของเรื่องอย่าง ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ ผู้รับบท ฮาฟูกุ ที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครในบทบาทของชายผู้แสดงความเจ็บปวดผ่านทางสีหน้าและแววตาออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่ และ โทโกะ มิอุระ ผู้รับบท มิซากิ สารถีสาววัย 23 ปี ผู้ปราศจากอารมณ์บนใบหน้า ที่เรียกได้ว่าถอดแบบบุคลิกได้ตรงตามเรื่องสั้นต้นฉบับแบบครบถ้วน หรือแม้แต่ทีมนักแสดงสมทบที่เพิ่มเข้ามาในภาพยนตร์ ที่ทุกคนต่างล้วนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และทำหน้าที่ของตนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเรียกได้ว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นส่วนสำคัญในการส่งต่อมวลอารมณ์ภายในเรื่องมาสู่คนดูอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะ ลียุนอา ที่รับบทโดย พัคยูริม นักแสดงละครเวทีชาวเกาหลีผู้เป็นใบ้ ที่ต้องใช้ภาษามือในการสื่อสารตลอดเรื่อง ซึ่งภาพยนตร์เลือกที่จะปล่อยเธอให้ใช้ภาษามือในการถ่ายทอดบทสนทนาและเรื่องราวต่างๆ โดยภาพยนตร์ก็ให้เวลาเธอได้สื่อสารโดยไม่แทรกแซงหรือตัดจังหวะใดๆ โดยเฉพาะฉากการแสดงละครเวที ลุงวานยา ในช่วงท้ายเรื่อง ที่ถึงแม้เธอจะไม่ใช่นักแสดงนำหลักของเรื่อง แต่เธอนี่แหละคือคนสำคัญที่ขมวดเรื่องราวที่ทอดยาวราวถนนตลอด 3 ชั่วโมง ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างน่าทึ่งและทรงพลัง 

และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ งานโปรดักชันที่ต้องใช้คำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ไม่ว่าจะเป็นงานภาพที่สามารถถ่ายทอดทิวทัศน์ของประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาอย่างสวยสดงดงาม รวมทั้งงานเสียงที่ตัวภาพยนตร์นั้นไม่ได้ใส่สกอร์เพลงประกอบลงไปมากเกินความจำเป็น แต่เลือกที่จะใช้เสียงบรรยากาศรอบตัวที่บันทึกเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงรถ เสียงลมตีตอนรถวิ่งผ่านอุโมงค์ เสียงที่จอดรถอัตโนมัติ เสียงปืนในละครเวที ฯลฯ หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่ใส่เสียงใดๆ เพื่อเว้นจังหวะของภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวและมิติของตัวละครให้คมชัดมากยิ่งขึ้น

ในภาพรวมแล้ว Drive My Car สุดทางรัก คือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความประณีตและงดงามในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทดัดแปลงที่เติมเต็มเรื่องราวต่างๆ พร้อมกับสะท้อนเรื่องราวจากแก่นของเรื่องสั้นต้นฉบับออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ การแสดงอันทรงพลังของเหล่านักแสดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ส่งผ่านไปสู่คนดู งานโปรดักชันที่งดงามและเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้การเดินทางตลอด 3 ชั่วโมง กลายเป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ บ่มเพาะความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างลึกซึ้งและทรงพลังในท้ายที่สุด

“คนที่ยังอยู่ก็จะเฝ้าคิดถึงคนที่ตายไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป”

ร่วมออกเดินทางชำระล้างเศษเสี้ยวความเจ็บปวด เพื่อตามหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้ใน Drive My Car สุดทางรัก ได้แล้วทาง Netflix

เรื่องล่าสุด