บางแสน ชลบุรี

ASW บุกแนวราบ ปี 66 จ่อเปิด 5 โครงการ มูลค่า 9 พันลบ.ดันรายได้โต 20%

ASW บุกแนวราบ ปี 66 จ่อเปิด 5 โครงการ มูลค่า 9 พันลบ.ดันรายได้โต 20%

     ASW บุกตลาดแนวราบ ปี 66 จ่อเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 9 พันลบ.เจาะทุกเซ็กเมนต์ มองกำลังซื้อยังมีอยู่มาก พร้อมเปิดคอนโด 8 โครงการ ลั่นปี 66 รายได้ทะยานต่อ 20% รับเทรนด์อสังหาฟื้น ปักหมุดติด Top 10 อสังหาฯ ชั้นนำ

     สถานการณ์ตอนนี้มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส ถ้านักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มองเป็นความเสี่ยงก็อาจชะลอแผนเปิดโครงการใหม่ หยุดกิจกรรมการดำเนินธุรกิจ องค์กรอาจจะหดลง แต่ “แอสเซทไวส์” อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของ “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กลับมองเป็นโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ แต่เติบโตแบบระมัดระวัง ยิ่งเป็นบริษัทอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) การขับเคลื่อนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้

*** เข้า SET ช่วยเสริมศักยภาพพัฒนาโครงการ-เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดี
 
      การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปีที่ผ่านมา ช่วยเสริมศักยภาพและทำให้สามารถพัฒนาโครงการได้หลากหลายทั้งทำเลและโปรดักส์ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถด้านการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้น

      “ข้อดีของการเข้าตลาดฯ ทำให้การบริหารจัดการเป็นระบบเพิ่มมากขึ้น มีผู้บริหารมืออาชีพช่วยบริหารจัดการ เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดี ต้นทุนทางการเงินดีขึ้น สามารถระดมทุนผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายกิจการได้ต่อเนื่อง ความน่าเชื่อถือตั้งแต่การเจรจาซื้อที่ดิน ผู้รับเหมาก่อสร้าง ลูกค้า ซัพพลายเออร์ต่างๆ มีความเชื่อมั่นในมาตรฐานของบริษัท ทำให้ช่วงโควิดความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ให้โอกาสเพิ่มมากขึ้น ส่วนสำคัญอีกอย่างคือ พนักงานได้สวัสดิการที่ดี มีความมั่นคงในการทำงาน ไม่มีการย้ายที่ทำงานบ่อย” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

*** เปิดแนวคิดขยายอาณาจักรตอบโจทย์เทรนด์ที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต
 
      ASW ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยเป็นหัวใจหลัก และหาทำเลศักยภาพเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุดพร้อมสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์จากสินค้าเดิมที่มีอยู่ในตลาด

      แนวคิดการขยายอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของ ASW น่าจะครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้คนในสังคมได้อยู่อาศัยในโปรดัสก์ของ ASW ในกรอบของ

      1. คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากคุณภาพโปรดักส์ที่เป็นมาตรฐานที่ทุกคนต้องทำให้ได้แล้ว คุณภาพชีวิตต้องมากกว่าแค่คุณภาพโปรดักส์ เช่น การเดินทางสะดวก มีบริการที่พิเศษเพิ่มขึ้น

      2. ความพอดีกับกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้าลักชัวรีต้องการอะไร ความพอดีของแต่ละเซ็กเมนต์ รวมไปถึงการใช้ชีวิต ทั้งค่าส่วนกลาง ค่าเซอร์วิสที่พอดี บริการที่พอดีกับคอมมูนิตี้นั้น

      3. มองไปถึงโอกาสในการเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่น เมื่ออยู่ในที่อยู่อาศัยของเรามีโอกาสใช้ชีวิตอย่างอื่นเพิ่มมากขึ้นได้อย่างไร เช่น ช่วงนี้การทำงานแบบ Work Form Home การอยู่บ้านสามารถประกอบธุรกิจอื่นได้มั้ย เราจะช่วยส่งเสริมลูกบ้านได้อย่างไร มองถึงการใช้ชีวิตที่ลูกบ้านจะเจริญเติบโตไปกับเราได้ด้วย

      จึงนิยามอาณาจักรของเราว่าขยายไปทุกเซ็กเม้นต์ในกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้ไป อาจจะเพิ่มแนวราบเป็นสำคัญ ที่ผ่านมายังเปิดน้อย ปีหน้าตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกระจายพอร์ตให้มากขึ้น

      ปัจจุบันพอร์ตหลักมาจากคอนโดภายใต้ 3 แบรนด์หลักอย่าง Atmoz, Modiz, Kave

***  ปี 66 จ่อเปิด 13 โครงการ วางเป้ารายได้ 7.2 พันลบ.โต 20%

      ในปี 66 มีแผนเปิด 12-13 โครงการใหม่ วางเป้ายอดขาย 12,000-13,000 ล้านบาท หรือมากกว่านี้ถ้าสถานการณ์กลับมา รายได้ 7,200 ล้านบาท เติบโต 20% โดยจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปีหน้าเป็นตัวขับเคลื่อนการรับรู้เป็นรายได้

      โดยตั้งเป้าเปิดแนวราบเพิ่มเป็น 5 โครงการ รวมที่เลื่อนเปิดจากปีนี้ไป 1 โครงการ และเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8,000-9,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ในระดับราคาตั้งแต่ 5-50 ล้านบาท ตอบรับกับดีมานด์จริงบนทำเลทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล เชื่อกำลังซื้อยังมีอยู่มาก ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทได้เป็นอย่างดี โดยทุกโครงการมีที่ดินรองรับหมดแล้ว

      ส่วนคอนโดมิเนียมเตรียมเปิดประมาณ 8 โครงการใหม่ มูลค่าอยู่ระหว่างพิจารณาแต่เติบโตกว่าปีก่อน

*** เพิ่มงบซื้อที่ดิน 3.5-4 พันลบ.รองรับการเปิดโครงการในอนาคต

      อีกหนึ่งจุดแข็งคือ ความสามารถในการหาที่ดิน โดยมองโอกาสการเติบโตบนทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่สูงนัก ในปี 66 เพิ่มงบซื้อที่ดินเป็น 3,500-4,000 ล้านบาท สูงกว่าปีนี้ที่ 3,000 ล้านบาท หลังจากรัฐมีแนวทางในการจัดเก็บภาษีที่ดินส่งผลให้มีเจ้าของที่ดินเริ่มทยอยปล่อยที่ดินออกมาเพิ่มขึ้น มองเป็นโอกาสสำหรับการจัดซื้อที่ดินแปลงใหม่ๆ เพิ่มเติมรองรับการพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในระยะยาว
 
      ขณะที่กลยุทธ์การเลือกทำเลที่มีศักยภาพเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จเรื่องของการเติบโต การเลือกทำเลที่ยังมีช่องว่างในการพัฒนาโครงการ หรือเจาะทำเลที่คู่แข่งไม่ค่อยไป ทำเลไหนขายดีก็ให้ความสนใจมาก ส่วนทำเลที่มีซัพพลายมากก็ไม่เข้า ถ้ามีทำเลที่ยังมีดีมานด์อยู่ แต่ยังไม่มีซัพพลายหรือซัพพลายหมดไปแล้ว เป็นโอกาสในการเข้าไปพัฒนา

*** มุ่งสู่ Top 10 อสังหาฯใน 3 ปี

      บริษัทตั้งเป้าติดอันดับ Top10 อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทย ในแง่มาร์เก็ตแคป ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ตอนนี้อยู่อันดับ Top14 ยังมีเวลาที่จะเติบโตขึ้นและเป็นการเติบโตที่มั่นคง มีช่องว่างให้แทรกเข้าไปช่วงชิงโอกาสหรือเพิ่มฐานลูกค้าได้ โดยทำให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ
 ภายใน 2-3 ปีนี้ ถ้ายอดขายถึง 15,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ราว 8,000-9,000 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย การที่บริษัทจะขยับฐานเพิ่มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปีนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตลาดอสังหาฯใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยังมีรูมที่จะขยายได้

***หาโอกาสขยายธุรกิจใหม่

      ขณะเดียวกัน ยังมองหาโอกาสขยายไปในธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ เพื่อกระจายพอร์ตให้มีรายได้จากหลากหลายธุรกิจ โดยสนใจในธุรกิจสุขภาพ และความงาม ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าในเร็วๆ นี้

      บริษัทยังเปิดรับทุกโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตใหม่ ผ่านการร่วมทุนทางธุรกิจกับพันธมิตร (JV) ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและแนวราบ และสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ (M&A)  โครงการคอนโดฯจากรายอื่นอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องเป็นโครงการที่เหมาะสม (Match) กับบริษัท ซึ่งขณะนี้มีนำมาเสนอขายกว่า 10 โครงการ ทั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลด้วย

*** บริหารต้นทุนที่เหมาะสมให้ได้รับผลกำไรที่ดี 

      อีกหนึ่งจุดแข็งคือ กลยุทธ์การบริหารต้นทุนที่ดีซึ่งเกิดจากผลงานของทีมงาน ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการทำกำไรที่สูง แม้ต้นทุนสูงขึ้นแต่ด้วยแนวทางการบริหารต้นทุนที่เหมาะสมทำให้ได้รับผลกำไรที่ดี สะท้อนที่อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ระดับ 15-20% และอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ 35-40%

*** ตุน Backlog สูง เปิดโครงการใหม่หนุนกำไรโต

      ในปีนี้บริษัทมั่นใจจะสามารถทำยอดขายได้ทะลุเป้าที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท และรายได้รวม 6,000 ล้านบาท เติบโต 20% แม้จะมีอุปสรรคเงินเฟ้อสูง สิ้นไตรมาส 2/65 มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 9,218 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งหลังของปีนี้ 4,000 ล้านบาท ที่เหลือรับรู้ในปี 66-67

      ในไตรมาส 4/65 เตรียมเปิดอีก 2 โครงการ คือ โครงการแนวราบ Esta Rangsit Khlong 2 (เอสต้า รังสิต คลอง 2) บ้านเดี่ยวบ้านแฝด จำนวน 153 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 5-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท และโครงการคอนโด Kave Universe (เคฟ ยูนิเวิร์ส) ติดมหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน มูลค่า 520 ล้านบาท โดยแผนปีนี้เปิด 8 โครงการ รวมมูลค่า 10,700 ล้านบาท
 มีการเลื่อนเปิดแนวราบ 1 โครงการ เป็นโครงการใหญ่เพราะได้ที่ดินเพิ่มเข้ามาจึงมีการขยับแบบ แต่เพิ่ม Kave เข้ามา ซึ่งคอนโด Kave ในรูปแบบแคมปัสบริเวณรอบมหาวิทยาลัยถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

      ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ถ้ากระทบโดยตรงคือดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัท ซึ่งบริษัทได้ประมาณการเผื่อไว้แล้วหากต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้นเท่าไรถ้าแบงก์ประกาศ ในแง่ลูกค้ากระทบน้อยเพราะในช่วง 2-3 ปีแรก แบงก์จะให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษในการผ่อน หลังจาก 3 ปีลูกค้าก็มีช่วงเวลาที่ปรับตัว จะกระทบลูกค้าที่กู้แล้วผ่อนมา 3 ปีแล้ว ซึ่งไม่กระทบลูกค้าที่ซื้อใหม่

      ทั้งหมดจึงเป็นคุณภาพของการอยู่อาศัยที่ ASW จัดเตรียมไว้ให้ผู้ซื้อ ตอกย้ำแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ของคนรุ่นใหม่เพื่อคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีสังคมที่ดีในทุก ๆ วัน

เรื่องล่าสุด