Site icon บางแสน

เสิ่นหนิงอันหมอหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งวังหลวง | นิยาย Dek-D | LINE TODAY

เสิ่นหนิงอันหมอหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งวังหลวง

เสิ่นหนิงอันหมอหญิงศักดิ์สิทธิ์แห่งวังหลวง

เมื่อถูกพี่สาวต่างมารดาหมายเอาชีวิตช่วงชิงตำแหน่งพระชายา บุตรสาวหมอหลวงผู้มากความสามารถต้องหนีเอาชีวิตรอดไปพร้อมกับบาดแผลบนใบหน้า โชคชะตาพัดพาให้หวนคืนกลับมา ทำให้คนโฉดชั่วไม่สามารถแตะต้องได้อีกต่อไป!

ข้อมูลเบื้องต้น

ชีวิตของบุตรสาวหมอหลวงประจำพระองค์ของฮ่องเต้ที่แสนสุขได้ใช้ชีวิตอิสระตามใจตนทั้งยังได้เป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทในวัยเพียงเจ็ดขวบ
ทุกอย่างราบรื่นราวกับโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทุกอย่างกลับพังลงเพราะความอิจฉาริษยาของพี่สาวต่างมารดาที่หมายเอาชีวิต
“เสิ่นหนิงอัน” ต้องวิ่งฝ่ากองเพลิงหนีตายออกมาจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ครอบครัวก็เข้าใจว่านางล้มหายตายจากไป พี่สาวก็แย่งทุกอย่างที่เคยเป็นของนางแม้กระทั่งความรักจากพ่อแม่
แต่ใครเล่าจะคาดเดาอนาคตได้ เสิ่นหนิงอันได้ถูกหมอหญิงศักดิ์สิทธิ์ช่วยไว้ทั้งยังสอนสั่งวิชาให้ เป็นคนที่เก่งกาจทั้งยังมากความสามารถจนพี่สาวโฉดชั่วไม่สามารถแตะต้องได้อีกแม้แต่ปลายเล็บ

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของความแค้น

‘เสิ่นฉิงอี’ บุตรสาวของ ‘เหอหลี่ถัง’ อนุภรรยาของ ‘เสิ่นเฉิง’ หมอหลวงประจำพระองค์ของฮ่องเต้ยืนกำหมัดแน่นสั่นระริกจนทั้งตัวสั่นเทาอยู่ในมุมมืดที่มีแสงสลัว ๆ ยามเมื่อลมพัดผ่านเงาไม้พลิ้วไหว เผยให้เห็นใบหน้าหงิกงอดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

สายตาที่เปรียบเสมือนไฟบรรลัยกัลป์ของนางจับจ้องไปที่ห้องนอนของ ‘เสิ่นหนิงอัน’ บุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างชิงชัง

เป็นเพราะเหอหลี่ถังผู้เป็นมารดาจากไปด้วยโรคประจำตัวก่อนวัยอันควร ทำให้เสิ่นฉิงอีรู้สึกขาดความรัก ความอบอุ่นและไม่สำคัญ นางเองก็เป็นบุตรีสกุลเสิ่นคนหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังเป็นพี่ใหญ่ เหตุใดทั้งท่านพ่อและท่านแม่ถึงได้เอาใจใส่แต่เสิ่นหนิงอันกันด้วย เพียงเพราะนางเกิดมาตัวเล็กสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรง หรือเป็นเพราะนางหัวไวเรียนรู้ได้ดีกว่าลูกอนุภรรยาเช่นเสิ่นฉิงอีกันเล่า
อนุเหอมารดาของนางย้ำสอนหนักหนาว่าให้เสิ่นฉิงอีมองภาพลักษณ์ของตนในสายตาของผู้อื่นเป็นสำคัญเสมอ แม้แต่ในครอบครัวสกุลเสิ่นเองก็ตาม
ทั้งบิดาและฮูหยินต่างก็เห็นว่าเหอหลี่ถังเป็นมารดาที่ดีสามารถอบรมสั่งสอนให้เสิ่นฉิงอีเป็นเด็กดีรู้มารยาท ถึงแม้จะเรียนรู้ช้าไปบ้างแต่ในตอนนี้ก็ถือดีกว่าแต่ก่อนมากนัก เพราะว่าเมื่อก่อนเสิ่นฉิงอีที่ถูกมารดาตามใจจนแทบจะเสียเด็ก ทั้งกิริยามารยาทไม่งาม พูดจาโผงผางไม่รู้จักกาละเทศะกลายเป็นเด็กที่รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดอย่างเช่นตอนนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
แต่ทว่าใครจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง เพราะนางที่เป็นเด็กไม่รู้ความเช่นนั้นทำให้เหอหลี่ถังถูกเสิ่นเฉิงผู้เป็นบิดาตำหนิ ทั้งยังกล่าวอีกด้วยว่าจะยกเสิ่นฉิงอีให้อยู่ในความดูแลของฮูหยินเอกอย่าง ‘จ้าวหนิงเจียว’ ผู้ที่อนุเหอมองว่าเป็นเสี้ยนหนามตำใจตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาอยู่ในสกุลเสิ่น!
การตำหนิของบิดาในครั้งนั้นทำให้เสิ่นฉิงอีรู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็นเมื่อเหอหลี่ถังมารดาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนราวกับพลิกฝ่ามือ บางครั้งนางก็เหม่อมองอะไรก็ไม่รู้แล้วก็พูดบางอย่างคนเดียวราวกับคนเสียสติวิกลจริต
“ท่านพี่…เป็นท่านมิใช่หรือที่บอกว่าชอบที่ข้าเป็นข้า ชอบที่ข้าเป็นตัวเองร่าเริงแจ่มใส แต่พอข้าเลี้ยงลูกให้เป็นเหมือนข้า ท่านกลับนำไปเปรียบเทียบกับลูกของนางหญิงสกุลจ้าวนั่น ท่านทำเช่นนี้ได้ยังไร กล้าพูดว่าจะยกลูกของเราให้เป็นลูกของคนอื่น ข้าตั้งท้องฉิงอีได้ไม้ทันไรจ้าวหนิงเจียวนั่นก็ท้องเสิ่นหนิงอันตามมา เห็นได้ชัดว่าสองแม่ลูกนั่นอิจฉาริษยาข้า นางเด็กเสิ่นหนิงอันนั่นก็แย่งความสนใจของท่านพี่จากฉิงอีไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำ”
เหอหลี่ถังรำพึงรำพันกับลมฟ้าอากาศแล้วจู่ ๆ ก็หันขวับมาจับไหล่ของเสิ่นฉิงอีทั้งสองข้างก่อนจะเพ่งมองไปในตาของบุตรสาวเขม็งจนทำให้เสิ่นฉิงอีสะดุ้งตัวสั่นด้วยความหวดกลัว
“ทะ…ท่านแม่ ท่านอย่าทำเช่นนี้อีเอ๋อร์กลัว” เสิ่นฉิงอีพยายามขอร้องให้มารดาหยุดการกระทำเช่นนั้นแต่นั่นกลับทำให้มารดาดูโกรธมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เหอหลี่ถังจับไหล่ของเสิ่นฉิงอีเขย่าจนบุตรสาวหัวสั่นหัวคลอนแล้วตะคอกถาม
“เจ้ากลัวข้าหรือกลัวท่านพ่อไม่รักมากกว่ากัน หรือเจ้าต้องการพ่ายแพ้ให้กับหนิงอันกันล่ะ เหอะ…เป็นเพราะเจ้าเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ตั้งใจเล่าเรียนดูเสิ่นหนิงอันผู้นั้นสิ นางเหนือกว่าเจ้าทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาและสติปัญญา มีอะไรที่เจ้าสามารถเทียบกับคนที่เจ้าเรียกว่าน้องสาวคนนั้นได้บ้าง ตั้งสติแล้วทำตัวใหม่ได้แล้วเสิ่นฉิงอี! หากสูญเสียความรักความเอ็นดูจากท่านพ่อและท่านย่าไป เราอาจจะถูกทอดทิ้งราวกับสุนัขข้างถนน เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”
เหอหลี่ถังทรุดตัวลงนั่งกอดเสิ่นฉิงอีเข้ามาแนบอกแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“อีเอ๋อร์ของโทษเจ้าค่ะท่านแม่ ต่อไปอีเอ๋อร์จะตั้งใจเรียน ไม่ห่วงเล่นและไม่ทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวังอีกเจ้าค่ะ”
เสิ่นฉิงอีตอบพร้อมกับซบใบหน้าลงไปแนบอกของมารดา แต่ดวงตาของเหอหลี่ถังกลับเผยแววตาไม่พอใจออกมาชัดเจน นางขบฟันกรอดอย่างพยายามระงับอารมณ์โกรธ แต่ก็บอกกับบุตรสาวอย่างใจเย็น
“แค่นั้นยังไม่พอ เจ้าต้องแย่งชิงความโปรดปรานจากท่านพ่อและท่านย่ามาให้ได้ และเมื่อมีโอกาสก็จงกำจัดเสิ่นหนิงอันไปให้พ้นทางซะ นางได้ติดตามบิดาของเจ้าเข้าวังหลวงหลายครั้งหลายคราจนได้สนิทสนมกับองค์รัชทายาท ฮองเฮาก็ทรงเอ็นดูนางมากเช่นกัน หากวันนึงนางได้เป็นพระชายาอนาคตก็คงไม่พ้นได้นั่งบัลลังก์หงส์ หากรอให้ถึงวันนั้นเราสองแม่ลูกก็คงไม่มีวันโงหัวได้อีก”
“อีเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
นั่นเป็นคำพูดของเหอหลี่ถังที่สั่งสอนเสิ่นฉิงอีก่อนที่นางจะล้มป่วย ช่วงก่อนหน้านั้นเหอหลี่ถังก็ไปสรรหาอาจารย์ที่ชำนาญแขนงวิชาต่าง ๆ มาสั่งสอนเสิ่นฉิงอี การฝึกฝนอย่างเคี่ยวกรำนั้นทำให้เสิ่นฉิงอีรู้สึกทรมาน หลายครั้งที่นางปวดเมื่อยไปทั่วสรรพางค์กาย ต้องตื่นกลางดึกเพราะอาการปวดหัว ตั้งแต่ที่มารดาเป็นเช่นนี้สมองของเสิ่นฉิงอีก็แทบจะไม่ได้หยุดพัก เรียกได้ว่าไม่มีเวลาว่างปล่อยให้สมองโล่งได้บ้างเลยต่างหาก
บางครั้งที่เห็นเสิ่นหนิงอันร่าเริงสนุกสนานไปกับการเรียนก็อดทำให้เสิ่นฉิงอีอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เสิ่นหนิงอันมีความสุขกับการเล่าเรียนเช่นนั้นนางมีความสุขจริง ๆ หรือเพราะว่านางแกล้งทำกันแน่ เสิ่นฉิงอีเลยคอยสังเกตท่าทางของน้องสาวต่างมารดาผู้นั้นมาและพยายามเลียนแบบให้ดูเหมือนว่านางเองก็มีความสุขกับการเล่าเรียนเช่นกัน
ช่วงบ่ายของวันนั้นวันนั้นเสิ่นฉิงอีก็ชวนอนุเหอผู้เป็นมารดามานั่งเล่นที่สวนผกา นางชงชาดอกไม้เอาไว้ให้รสชาติหวานหอมกลมกล่อมกำลังดีทั้งยังแสดงการดีดคงโหวให้มารดาฟังด้วยท่วงท่าสง่างาม แผ่นหลังที่เหยียดตรงนิ้วเรียวสวยที่เมื่อยามดีดสายคงโหวดูพลิ้วไหวไพเราะจนละสายตาไม่ได้ ทำเอาเหอหลี่ถังน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ ที่การออกไปตามหาอาจารย์ที่เป็นเลิศด้านการสอนมาให้กับเสิ่นฉิงอีนั้นไม่สูญเปล่า
ตกเย็นวันนั้นเหอหลี่ถังก็ลงครัวทำอาหารจานโปรดให้กับบุตรสาวด้วยตนเอง นางทำดีกับบุตรสาวมากขึ้นเพื่อเป็นรางวัลตอบแทนในความตั้งใจของบุตรสาว ส่วนเสิ่นฉิงอีที่เห็นมารดากลับมามอบความรักอีกทั้งยังเอาใจใส่ตนมากขึ้นทำให้มีแรงฮึดสู้ที่จะตั้งใจร่ำเรียนต่อไปเพื่อให้ตนเองไม่เป็นรองเสิ่นหนิงอัน!

ตอนที่ การประชันฝีมือของสองพี่น้อง

แม้แต่การรับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อทุกคนทานอิ่มแล้ว ฮูหยิ่นเฒ่าเสิ่น หมอหลวงเสิ่นและฮูหยินเอกก็ยังเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของเสิ่นฉิงอี ทั้งกิริยามารยาทบนโต๊ะอาหารและการวางตัวของนางล้วนน่าชม

ก่อนหน้านั้นฮูหยินเอกอย่างจ้าวหนิงเจียวยังไม่ยินดีนักที่จะให้เสิ่นหนิงอันไปเล่นหรือสนิทสนมกับเสิ่นฉิงอีเพราะกลัวว่าบุตรสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจจะไปได้อุปนิสัยที่ไม่ได้เรื่องของบุตรอนุภรรยาติดตัวมาด้วย แต่เมื่อเห็นว่าเสิ่นฉิงอีเปลี่ยนไปเป็นคนสุขุมสง่างามเช่นนี้จึงเอ่ยปากชักชวนมาดื่มชาและมาเล่นกับเสิ่นหนังอันด้วยตัวเอง ฮูหยินเฒ่าและหมอหลวงเสิ่นเองก็เอ่ยชมเสิ่นฉิงอีที่ประพฤติตัวดีขึ้น

“อีเอ๋อร์ของย่ารู้ความขึ้นมาก หากมีเวลาว่างย่าก็อยากชมฝีมือการเล่นคงโหวของเจ้าบ้าง หรือมาเล่นดนตรีร่วมกับหนิงอันน้องสาวของเจ้าก็คงจะดีไม่น้อยเลย”

“ขอบคุณท่านย่าที่ชมเจ้าค่ะ แต่ที่อีเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ได้ก็เป็นเพราะท่านแม่ที่ลำบากหาอาจารย์ที่เป็นเลิศในแขนงต่าง ๆ มาสั่งสอน” เสิ่นฉิงอีรู้จักพูดขึ้นมาก นางไม่เอารับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียวแต่ยังรู้จักสรรเสริญมารดาทำให้เหอหลี่ถังยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“หลี่ถัง เจ้าทำได้ดีมาก ต่อไปอนาคตของอีเอ๋อร์ต้องเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่งดงามและเพียบพร้อมอย่างแน่นอน” คำชื่นชมของหมอหลวงเสิ่นผู้เป็นสามีทำเอานางถึงกับยิ้มไม่หุบ

“เป็นเพราะเมื่อก่อนปล่อยปละละเลยอีเอ๋อร์ให้เที่ยวเล่นตามใจ จึงมีนิสัยไม่ได้ความไปบ้าง ต้องขออภัยท่านพี่และท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ” เหอหลี่ถังเอ่ยตอบอย่างถ่อมตัวแต่ก็ยังแอบปรายตามองฮูหยินเอกเป็นระยะคล้ายจะยิ้มเยาะ แต่เสียงเล็กใสของเสิ่นหนิงอันก็พูดขึ้นมาดึงความสนใจของทุกคนเอาไว้จึงไม่มีใครทันได้เห็นกิริยาเมื่อครู่ของอนุเหอ

“พี่หญิงช่วงบ่ายนี้ท่านว่างหรือไม่เจ้าคะ”

“ว่างจ้ะ น้องหญิงมีอะไรหรือ” เสิ่นฉิงอีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายกับเอ็นดูน้องสาวเสียเต็มประดา แต่ใครจะไปรู้ว่าภายในใจนั้นอิจฉาริษยาเสิ่นหนิงอันอยู่ไม่ใช่น้อย

“หนิงอันจะชวนพี่หญิงมาเล่นดนตรีให้ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ฟังน่ะเจ้าค่ะ เราทั้งสองคนแค่เตรียมเครื่องดนตรีที่เราถนัดมาบรรเลงร่วมกัน”

“เอาสิจ๊ะ น่าสนุกดีจริง ถ้าเช่นนั้นพี่ขอไปเตรียมตัวสักครู่ เดี๋ยวหลานมานะเจ้าคะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่” เสิ่นฉิงอีและเหอหลี่ถังยอบตัวลงคารวะก่อนจะหมุนตัวออกไป

สองแม่ลูกเสิ่นฉิงอีและเหอหลี่ถังพากันไปผลัดผ้าประทินโฉมแต่งตัวเสียใหม่ในชุดสีชมพูคู่กัน ก่อนจะให้สาวใช้ยกเครื่องดนตรีไปตั้งไว้ที่กลางสวน ก่อนจะออกมาเหอหลี่ถังกำชับให้เสิ่นฉิงอีทำให้เสิ่นหนิงอันเสียหน้าต่อหน้าทุกคนให้ได้และเสิ่นฉิงอีห้ามมีอะไรผิดพลาดเป็นอันขาด เสิ่นฉิงอีที่ทะนงตนว่าสามารถเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้ชำนาญแล้วเพราะเล่นแต่เพลงเดิม ๆ ไม่กี่เพลงซ้ำ ๆ อยู่ทุกวันจึงค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าจะชนะเสิ่นหนิงอันได้

เมื่อทุกคนมาถึงฮูหยินและหมอหลวงเสิ่นประคองฮูหยินเฒ่าติดตามมาด้วยเสิ่นหนิงอันในชุดสีขาวสะอาด แต่ความขาวของเสื้อผ้าก็ไม่อาจกลบรัศมีจากผิวพรรณอันผุดผ่องของเด็กสาวได้ ทั้ง ๆ ที่นางสวมเครื่องประดับน้อยชิ้นแต่ก็ดูงดงามเหมาะเจาะไปเสียทุกอย่างจนดูเหมือนว่าอนุเหอและเสิ่นฉิงอีประโคมแต่งตัวมากเกินไปทำให้พวกบ่าวลอบส่งยิ้มให้กันราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันก็เท่านั้น

ใบหน้าของเสิ่นฉิงอีร้อนผ่าวอย่างรู้สึกอับอายไม่น้อยเมื่อจุดรวมความสนใจไปอยู่ที่เสิ่นหนิงอันจนหมด แม้แต่ท่านพ่อและท่านย่า ทุกคนเอาแต่ชื่นชมเสิ่นหนิงอันว่างดงามด้วยแววตาเป็นประกาย แต่กลับหันมาชื่นชมนางตามมารยาทก็เท่านั้น คอยดูเถอะเสิ่นหนิงอัน…วันนี้ข้าจะหักหน้าเจ้าให้ได้! เสียงในใจของเสิ่นฉิงอีตะโกนกึกก้องบอกกับตนเองว่าอย่างนั้น…

“น้องหญิงพร้อมแล้วหรือไม่…หากพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยเถอะ” เสิ่นฉิงอีชักชวนเสียงหวาน

“เจ้าค่ะพี่หญิง” เสิ่นหนิงอันยิ้มพยักหน้ารับ

สองพี่น้องสกุลเสิ่นเดินเข้าจุดประจำที่ เสิ่นฉิงอีคนพี่ตั้งท่าจับคงโหว เสิ่นหนิงอันคนน้องถือผีผา ใบหน้าของเสิ่นหนิงอันระบายรอยยิ้มบาง ๆ อย่างสุขใจที่จะได้บรรเลงดนตรีร่วมกับผู้เป็นพี่สาว แต่เสิ่นฉิงอีที่มีความกังวลอยู่บ้างจึงยิ้มออกมาได้อย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก เสิ่นหนิงอันเห็นเสิ่นฉิงอีดูมีความกังวลอยู่นั้นก็เอียงตัวมากระซิบให้กำลังใจ

“พี่หญิงไม่ต้องเกร็ง ผีผานี่ข้าเพิ่งหัดเล่นได้ไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้น” แต่เสียงใสเจื้อยแจ้วที่พยายามให้เสิ่นฉิงอีคลายความกังวลนั้นหาได้ช่วยอะไรไม่ กลับทำให้ผู้เป็นพี่สาวรู้สึกกดดันขึ้นมากว่าเดิมเพราะความคิดแง่ลบที่อยู่ในหัว

‘ฝึกแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่ถ้าหากนางทำได้ดีกว่าข้าล่ะ…ข้าจะทำเยี่ยงไรดี’ เสิ่นฉิงอีกัดปากตนเองแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บความรู้สึกประหม่า พยายามทำใจดีสู้เสือ

เมื่อพร้อมแล้วสองพี่น้องสกุลเสิ่นก็เริ่มบรรเลงเพลงร่วมกัน ในช่วงแรกเครื่องดนตรีสองชนิดคือคงโหวและผีผาถูกบรรเลงอย่างนุ่มนวลสามารถเข้ากันได้ดี ทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย ช่วงกลางทั้งสองเริ่มบรรเลงเป็นท่วงน้ำนองที่สนุกสนานขึ้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคนมากและในช่วงสุดท้ายก็เป็นการแสดงฝีมือว่าใครจะเล่นเครื่องดนตรีที่ตนเตรียมมาได้ชำนาญกว่ากัน

สองศรีพี่น้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์ได้สั่งสอนมาใช้รวมทั้งประสบการณ์ส่วนตัวของตน แม้ว่าเสิ่นฉิงอีจะฝึกเล่นคงโหวมานานมากกว่าแต่ใจนางก็ยังมีความกังวลกลัวว่าจะเล่นผิด แต่เสิ่นหนิงอันบรรเลงผีผาไปตามอารมณ์ นิ้วของนางขยับเคลื่อนไหวได้พริ้วไปกับเสียงทำนองของผีผา

ใบหน้าของนางก็ยิ้มแย้มแสนจะสนุกไม่มีความกังวลหรือกลัวว่าจะเล่นผิดแต่อย่างใด เสิ่นฉิงอีที่เห็นท่าไม่ดีเพราะถ้าหากยังสู้ต่อไปนางต้องสู้เสิ่นหนิงอันไม่ได้เป็นแน่ ก่อนที่ท่อนสุดท้ายจะมาถึงนางจึงดีดสายคงโหวอย่างแรงจนมันขาดและได้บาดเข้าที่นิ้วของนางจนเลือดไหลซิบ!

ตอนที่ 3 ชื่อเสียงลือกระฉ่อน

“ว๊าย…อีเอ๋อร์!”
“พี่หญิง!”
ทุกคนร้องออกมาด้วยความตกใจ หมอหลวงเสิ่นที่ไวกว่าใครพุ่งตัวเข้าไปดูบาดแผลของบุตรสาว เพราะเป็นหมอเขาจึงใช้ผ้าที่มักจะพกติดตัวเอาไว้อยู่เสมอออกมาพันห้ามเลือดให้แก่เสิ่นฉิงอี แต่ตอนนี้นางหาได้เจ็บปวดหรือสนใจบาดแผลของตนเองไม่ แต่กลับรู้สึกสะใจที่แย่งความสนใจของทุกคนจากเสิ่นหนิงอันมาได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่นางจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางร่างกายก็เถอะ
หลังจากที่หมอหลวงเสิ่นได้ทำความสะอาดและทายาบริเวณบาดแผลที่ถูกคงโหวบาดให้ ฮูหยินเฒ่าก็ได้มอบของขวัญให้แก่หลานสาวทั้งสองเพื่อเป็นรางวัลที่หลาน ๆ มามอบความสำราญให้ในวันนี้ถึงตอนจบจะไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่แต่เพียงเท่านี้นางก็ได้รับรู้แล้วว่าหลานสาวทั้งสองคนของนางมีความสามารถ โดยเฉพาะเสิ่นหนิงอันที่หัดเล่นผีผาได้ไม่ถึงครึ่งเดือนแต่ก็สามารถเล่นได้ไร้ที่ติ จึงนับได้ว่าหลานสาวคนเล็กนี้เป็นอัจริยะ นางถอดกำไลข้อมือให้คนพี่และมอบปิ่นปักผมให้คนน้อง
ถึงแม้จะดีใจที่ได้รับของขวัญจากผู้เป็นย่าแต่เสิ่นฉิงอีก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้เพราะจิตใจเอาแต่คิดเปรียบเทียบของที่ตนได้กับของที่เสิ่นหนิงอันได้ ถึงกำไลนี่จะเห็นท่านย่าใส่เป็นประจำแต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับปิ่นปักผมทองคำนั่น ได้ยินว่าของสิ่งนั้นเป็นของแทนใจที่ท่านปู่มอบไว้ให้ ท่านย่ารักและหวงแหนปิ่นทองคำอันนั้นเอามาก ๆ แต่บัดนี้กลับมอบให้แก่เสิ่นหนิงอันไปง่าย ๆ แววตาที่จับจ้องผู้เป็นน้องสาวที่กำลังชื่นชมปิ่นปักผมงดงามนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มชื่นชมไปกับน้องสาวด้วยอย่างรวดเร็ว
เหอหลี่ถังที่เห็นบุตรสาวมองเสิ่นหนิงอันอย่างอาฆาตมาดร้ายเช่นนั้นก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและยิ่งพอใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าบุตรสาวรู้จักเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ไม่แสดงความรู้สึกที่ไม่ดีออกมาต่อหน้าผู้อื่น หากเป็นเมื่อก่อนเสิ่นฉิงอีก็คงจะโวยวายขว้างปาข้าวของเพื่อระบายอารมณ์เป็นแน่ นับว่าสิ่งที่นางเฝ้ากำชับและสั่งสอนบุตรสาวเองก็เก็บมาคิดและจดจำเอาไว้ในใจ
“ขอบคุณนะเจ้าคะท่านพ่อ” เสิ่นฉิงอียิ้มหวานพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“พี่หญิงเอายานี่ไปทานะเจ้าคะจะได้ไม่เป็นรอยแผลเป็น” เสียงใสที่อยู่ในอ้อมแขนมารดาร้องบอก เป็นจ้าวหนิงเจียวที่อุ้มเสิ่นหนิงอันเดินเข้ามาหลังจากที่พากันไปเอาตลับยาที่อยู่ในเรือนมาให้เสิ่นฉิงอี
“ขอบใจน้องหญิงมากนะที่มีน้ำใจ” เสิ่นฉิงอีลูบผมน้องสาวตัวน้อยแววตาเอ็นดูรักใคร่ แต่ในใจอยากจะจิกทึ้งให้นางร้องออกมาอย่างเจ็บปวดนัก
ครอบครัวปรองดองรักใคร่ ฮูหยินเฒ่าเองก็สุขใจ แต่นางหารู้ไม่ว่าความสงบสุขนั่นเป็นแค่ความสงบสุขแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น เพราะหลังจากนี้ยังมีคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่ที่ประเมินความเสียหายไม่ได้รอถาโถมสกุลเสิ่นอยู่!
“หลี่ถัง วันนี้เหนื่อยมากแล้ว พาอีเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถอะ หากมีเวลาว่างพี่จะแวะไปเยี่ยมเยียน”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ไปกันเถอะอีเอ๋อร์” สองแม่ลูกย่อตัวคารวะก่อนจะจากไปด้วยใบหน้าแสนสุข
“อีเอ๋อร์วันนี้ลูกทำได้ดีมาก” เหอหลี่ถังเอ่ยชื่นชมบุตรสาวทำให้คนถูกชมเผยรอยยิ้มกว้าง
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่
“แต่รู้ใช่ไหมว่ายังต้องฝึกอีกมาก” เสิ่นฉิงอีหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินมารดาพูดเช่นนั้น
“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้ทันเจ้า เพราะเจ้ารู้ว่าจะแพ้เลยจงใจทำให้สายคงโหวขาด” เสิ่นฉิงอีก้มหน้างุดเมื่อถูดมารดาจับได้
“แต่ก็เอาเถอะ นับว่าแก้สถานการณ์ได้ดี ในเมื่อรู้จักเอาตัวรอดนั่นก็นับว่าดีแล้ว แต่ไปก็อย่าประมาทศัตรูอีก เข้าใจใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากวันนั้น หมอหลวงเสิ่นก็มาเยี่ยมสองแม่ลูกตามสัญญาแต่ไม่นานนักก็ห่างหายไปเพราะเสิ่นหนิงอันที่มักจะติดตามเข้าไปในวังได้ทำหมอนยาขึ้นถวายให้แก่ฮ่องเต้ ฮองเฮาและพระพันปี เบื้องบนทรงพอพระพระทัยมาก เพราะหมอนยาที่เสิ่นหนิงอันทำขึ้นถวายให้นั้นช่วยให้นอนหลับสบาย ตื่นมายังให้ความรู้สึกสดชื่น เมื่อร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอผิวพรรณก็ผ่องใส ร่างกายแข็งแรง
ทั้งสามพระองค์เอ็นดูเด็กหญิงตัวน้อยเป็นพิเศษถึงกับให้ทูลขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง แต่สิ่งที่เสิ่นหนิงอันทูลขอกลับทำให้ทั้งสามพระองค์เอ็นดูมากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะสิ่งที่เสิ่นหนิงอันขอนั่นก็คือการเข้าไปศึกษาต้นสมุนไพรหายากและขออนุญาตเพาะปลูกด้วยตนเองในวังหลวงอีกด้วย เช่นนั้นยังไม่พอ ต้นสมุนไพรบางชนิดที่ไม่เคยมีใครสามารถเพาะปลูกได้เด็กหญิงตัวน้อยกลับสามารถทำได้ นางเพียงลองสังเกตว่าต้นสมุนไพรชนิดนั้นชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด บางต้นชอบแดดจัด บางต้นชอบแดดรำไร บางต้นไม่ชอบแดดเลยรวมถึงความต้องการน้ำของพืชชนิดนั้นอีกด้วย
บัดนี้ชื่อเสียงของบุตรีคนเล็กที่เกิดจากฮูหยินเอกของหมอหลวงเสิ่นลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางไม่เพียงแต่สร้างความดีความชอบต่อหน้าพระพักตร์เท่านั้น กับชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ยากจนข้นแค้นเสิ่นหนิงอันก็ช่วยเหลือโดยไม่เก็บเงินสักอีแปะจนได้ฉายาว่า “หมอหญิงแห่งอวิ๋นโจว”
ชื่อเสียงของเสิ่นหนิงอันร่ำลือไปทั่วจนกระทั่งถึงหูขององค์รัชทายาทที่ตอนนี้เป็นเด็กชายวัยเก้าขวบเท่านั้น เขาเองก็อยากเห็นหนักหนาว่าฉายาหมอหญิงแห่งอวิ๋นโจวเป็นคนเช่นไร เพราะข้อมูลที่ได้ทราบมานางเป็นเพียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเท่านั้น
องค์รัชทายาท ‘ลู่ตงหยาง’ จึงทูลขอฮ่องเต้ ‘ลู่ป๋อเหวิน’ ผู้เป็นบิดาและฮองเฮา ‘จิ้นซูหนี่’ ผู้เป็นมารดาว่าอยากพบเสิ่นหนิงอันสักครั้ง และโชคดีที่วันนี้เสิ่นหนิงอันก็เข้าวังมาดูแลสมุนไพรที่นางปลูกเอาไว้หลังวังเมื่อเขาตามไปก็คลาดกันนิดหน่อยเพราะคนเฝ้าสวนได้บอกว่าพระพันปีให้คนมาพาเสิ่นหนิงอันไปดื่มชาและรับของว่าง เป็นขนมที่พระพันปีทรงให้แม่ครัวหลวงส่วนพระองค์เป็นคนทำให้เอง
‘ท่านย่าเองก็ชื่นชอบเสิ่นหนิงอันผู้นั้นถึงเพียงนี้เชียวรึ ข้าชักอยากจะรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเสียแล้วสิว่านางเป็นคนเช่นไร ท่านพ่อ ท่านแม่และท่านย่าจึงได้เอ่ยชมไม่ขาดปากเช่นนี้’

มีอีบุ๊คแล้วนะคะ อยู่ในช่วงจัดโปรโมชั่น ฝากเอ็นดูนักเขียนตัวน้อย ๆ ด้วยการกดให้ใจห้าดวงเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiODM3NTQ0MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI1Mzc0MSI7fQ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

Exit mobile version