ในลิ้นชักความทรงจำ / ยูร กมลเสรีรัตน์
นักเขียนรุ่นลายครามผู้นี้โลดแล่นอยู่ในวงการน้ำหมึกเป็นเวลายาวนานเกือบ 70 ปีแล้ว เธอเริ่มเขียนหนังสือเมื่ออายุ 20 กว่าปี ในขณะที่ยังเป็นครูที่จังหวัดตาก ช่วงแรกของการเขียน เธอเขียนนวนิยายรักโรแมนติกตามวัยและยุคสมัย
นวนิยายเรื่อง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” เป็นนวนิยายที่ผมได้ยินชื่อตั้งแต่ยังเด็ก น่าจะอยู่ประถมปลายคู่กับชื่ออุปถัมภ์ กองแก้ว ญาติๆ ต่างพากันพูดถึงนวนิยายเรื่องนี้ด้วยความชื่นชอบและชื่นชม ตอนนั้นผมไม่มีโอกาสอ่านหรอก เพราะยังเด็กมาก รู้แต่ว่าเป็นนวนิยายที่ดังมาก ได้อ่านนวนิยายจริงจังตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากนิตยสารของญาติๆ เช่นศรีสยาม บางกอก ทานตะวัน สกุลไทย แสนสุข ฯลฯ
ยิ่งเมื่อนวนิยายเรื่อง “มัจจุราชสีน้ำผึ้ง” ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ประชันบทบาทระหว่างคู่พระ-คู่นางคือ สมบัติ เมทะนีกับพิสมัย วิไลศักดิ์ เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นคือ แมคเคนน่า ส่งให้นวนิยายเรื่องนี้โด่งดังยิ่งขึ้น ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ขจรขจายในหมู่คนอ่าน
“เรื่องมันไม่ได้มีอะไรมากหรอก พี่เขียนตอนนั้นอายุยังน้อยมาก ซักยี่สิบกว่า ๆ เขียนตามประสาเด็ก คนสมัยนั้นเขาก็ชอบเรื่องหวานแหววกัน ก็เลยดังขึ้นมา”อุปถัมภ์ กองแก้วพูดประโยคนี้กับผมกว่า 10 มาแล้ว
แม้เธอจะออกตัวว่าเขียนตามวัยและยุคสมัย แต่ความดังของนวนิยายเรื่องนี้ ทำให้คนอ่านจำชื่อนางเอกของเรื่องด้วยความตราตรึงใจ จนกระทั่งนำไปตั้งชื่อลูกสาวว่า “รจนาไฉน”
เรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อก็คือ รจนาไฉนในชีวิตจริง เป็นเลขาฯของบริษัททีวีซีนที่ไปติดต่อขอเช่าลิขสิทธิ์นวนิยายเรื่องนี้กับอุปถัมภ์ กองแก้ว เพื่อนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ช่อง 3
“แม่ของเขาชอบนวนิยายเรื่องนี้มาก ก็เลยเอาไปตั้งชื่อลูกสาวว่า รจนาไฉน”อุปถัมภ์ กองแก้วเฉลยให้ฟังระคนยิ้ม
เรื่องบังเอิญเรื่องที่สองที่ไม่น่าเชื่อก็คือ อีกหลายเดือนต่อมา ผมมีโอกาสรู้จักรจนาไฉน ตัวจริง เสียงจริงอย่างไม่คาดฝันในงานเสวนาที่โรงแรมสยามซิตี้ เมื่อเธอยื่นนามบัตรสีชมพูอ่อนให้ผม ชื่อ “รจนาไฉน” วงเล็บต่อท้ายนามสกุลแบบไทย ๆ ว่า “น้องทราย” ชื่อเล่นก็แสนไพเราะ น่ารัก
เหมือนเจ้าตัวในวัย 26 ปี เราได้ติดต่อกันและได้นัดเจอกันบ้างตามโอกาส แต่ต่างคนต่างทำงานคนละแวดวง ตอนหลังเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันและห่างกันในที่สุด
ที่กล่าวไว้ตอนต้นว่าอุปถัมภ์ กองแก้วเริ่มเขียนหนังสือขณะที่เป็นครูที่จังหวัดตาก เพราะเธอเป็นคนจังหวัดตาก เป็นเพื่อนนักเรียนระดับชั้นประถมที่โรงเรียนผดุงปัญญา จังหวัดตาก รุ่นเดียวกับสุภัทร สวัสดิรักษ์ อดีตบรรณาธิการนิตยสารสกุลไทย(ล่วงลับแล้ว) เมื่อจบชั้นประถมแล้ว จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เรียนต่อที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย จบชั้นเตรียมอุดมศึกษา
ทว่า เรียนไม่จบชั้นเตรียมอุดมศึกษา เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเรียนเพิ่มเติมด้วยตัวเองและสอบได้วุฒิทางครู ผมไม่ได้ถามชัดเจนว่าวุฒิอะไร คิดว่าสมัยนั้นน่าจะเป็นวุฒิพ.ม.ถ้าไม่ใช่ต้องขออภัย หลังจากนั้นไปเป็นครูประชาบาลที่จังหวัดตากเป็นเวลา 7 ปี แล้วลาออกไปเป็นครูที่โรงเรียนสตรีจุลนาค ย่านหลานหลวง กรุงเทพฯอีก 7 ปี
อุปถัมภ์ กองแก้วมีผลงานเขียนเรื่องแรกเป็นเรื่องสั้นชื่อ “ผู้หญิงคนนั้น….อยู่ที่ไหน” ส่งไปประกวดที่นิตยสารสกุลไทย ยุคลมูล อติพยัคฆ์(ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง “ฉุยฉาย”ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น) เป็นบรรณาธิการเมื่อปี 2501 ได้รับรางวัลชนะเลิศด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ คณะกรรมการตัดสิน ล้วนเป็นนักเขียนรุ่นลายครามชื่อดัง ถือว่าเป็นกรรมการระดับกิตติมศักดิ์ทั้งนั้นได้แก่ อมราวดี สุภาว์ เทวกุล อ. ไชยวรศิลป์ เป็นอาทิ
เรื่องสั้นเรื่องนี้เธอเขียนจากความรู้สึกที่ได้พบเห็นเด็กคนหนึ่ง ซึ่งแม่บอกให้ยืนรออยู่ตรงมุมถนน แม่จะไปตามหาพ่อ ให้รอแม่ตรงนี้ หญิงชรามาพบเข้า ถามเด็กดู พอรู้เรื่อง จึงชวนไปบ้าน เด็กคนนี้อยู่บ้านหญิงชรานานเป็นปี แต่ก็จะวิ่งมาดูแม่ทุกวัน หวังว่าแม่จะกลับมา เรื่องนี้อุปถัมภ์ กองแก้วรู้สึกสะเทือนใจมาก จนเก็บไว้ในใจไม่ได้ ประจวบเหมาะ กับนิตยสารสกุลไทยจัดประกวดเรื่องสั้น 5 นาที ความยาว 1 หน้าครึ่งกระดาษฟุลสแก้ป จึง เขียนส่งไปประกวดดังที่กล่าวข้างต้น
ถือว่าเป็นเรื่องสั้นแจ้งเกิดบนบรรณพิภพของเธอ จากนั้นจึงได้เขียนเรื่องสั้น7 ตอนจบชื่อ “ไดอารี่สีดำ”ตีพิมพ์ในนิตยสารสกุลไทย และเขียนเรื่องสั้นลงนิตยสารดรุณีของชิต กันภัย ซึ่งเป็นนิตยสารระดับแถวหน้าในสมัยนั้น มียอดจำหน่ายเกือบแสนเล่ม
“แล้วพี่ก็เขียนนวนิยายเรื่องแรกเรื่อง ‘ขวัญคืน’ที่ดรุณี ตามด้วย ‘วิมานชีวิต’แล้วไปเขียนที่ผดุงศิลป์ สกุลไทย กุลสตรีและฉบับอื่นตามลำดับมาเรื่อย”เธอบอกเล่าให้ฟัง
ครั้งที่เธอเป็นครูที่โรงเรียนสตรีจุลนาค เธอบอกว่าเขียนนวนิยายสัปดาห์ละ 4 เรื่อง ไม่นับที่เป็นงานเขียนรับเชิญในโอกาสต่าง ๆ ไหนจะเตรียมการสอน ไหนจะทำคะแนน ช่วงนั้นแบก ภาระหนักมาก จึงตัดสินใจลาออก ซึ่งนักเขียนแนวพาฝันรุ่นเดียวกันกับอุปถัมภ์ กองแก้ว ในยุคนั้นได้แก่กฤษณา อโศกสิน ชูวงศ์ ฉายะจินดา นราวดี พนมเทียน เป็นอาทิ นวนิยายเรื่อง “วิมานชีวิต” เป็นนวนิยายเรื่องที่ 2 ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนอ่าน
แต่นวนิยายที่โด่งดังและถือว่าเป็นเรื่องเด่นแล้ว ต้องยกให้เรื่อง“มัจจุราชสีน้ำผึ้ง”และ “ตลาดอารมณ์” ซึ่งนวนิยายทั้งสองเรื่อง ครั้งที่สร้างเป็นภาพยนตร์ก็ทำรายได้ดี หากนวนิยายที่อุปถัมภ์ กองแก้วรักมากที่สุดคือเรื่อง “มงกุฎฟาง” นวนิยายเรื่องนี้
เป็นนวนิยายที่สะท้อนสังคมที่แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่มีความจีรัง ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนหนุ่มสาวที่ต้องการก้าวเข้าไปในโลกมายา ซึ่งมีชีวิตที่หรูหรา
ตัวเอกเป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่โชคชะตาได้พาเธอก้าวเดินไปสู่ถนนแห่งดวงดาว ซึ่งจะนำมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศและเงินทอง แต่ถนนสายนี้ที่ผู้คนนับถือเงินตราเป็นพระเจ้า ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมื่อชะตาชีวิตของเธอพลิกผัน หรือว่ามงกุฎแห่งเกียรติยศที่เธอสวมอยู่ จะเป็นแค่มงกุฎฟาง
นวนิยายเรื่องนี้ผมจำได้ว่าเคยสร้างเป็นละครโทรทัศน์ดังพอ ๆ กับเพลงในชื่อเดียวกัน ขับร้องโดยนักร้องที่ชื่อเสียงในสมัยนั้นคือ เกษรา สุดประเสริฐ แต่นวนิยายที่อุปถัมภ์ กองแก้วภาคภูมิใจที่สุดคือเรื่อง “อรุณลา” เธอทบทวนความหลังเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ว่า…
“ในสมัยนั้นวิทยาลัยครู(ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏ)หลายแห่งได้นำไปวิจารณ์ด้วยความชื่นชม เพราะเป็นนวนิยายเชิงจิตวิทยา เขียนตอนยังเป็นครู เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่บ้านแตก เวลาที่พ่อเลี้ยงหรือน้องโกรธ
แม่ก็คิดแค้นมาลงที่เด็กคนนี้ ต้องรองรับอารมณ์ของแม่ ก็เลยเป็นเด็กที่หมางเมินกับความรัก มีความรู้สึกว่าไม่มีใครรัก พอโตเป็นสาวก็วางตัวไม่ถูก ตอนท้ายก็พลาดพลั้งเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายคนหนึ่ง จนได้มาเจอผู้ชายคนใหม่เป็นลูกชายของครู” เธอขยายความให้ฟังว่า “อรุณ”หมายถึงความสดชื่น แต่สำหรับเด็กคนนี้แทบจะไม่มีอรุณสำหรับเขา เธอเล่าต่อว่า
“เป็นเห็นเรื่องจริง ไปเห็นเด็กคนหนึ่งถูกเฆี่ยน มีรอยถูกตีด้วยเข็มขัดที่มือ ที่แขน เพราะน้องคนละพ่อไปฟ้องว่าไม่ให้ตังค์ พ่อเลยว่าแม่ แม่โกรธเลยตี เมื่อโตก็พลาดท่าให้ผู้ชาย ก็เลยแต่งเติมเข้าไปไม่ให้ดูโหดร้ายนัก กระนั้นยังถูกวิจารณ์ว่าทารุณกับตัวละคร คงเป็นเพราะว่าในสมัยนั้นเรื่องสมจริงยังไม่เป็นที่นิยมของคนอ่าน”
(อ่านต่อตอนหน้า)
“ทางประเสริฐของการดำเนินชีวิตได้แก่ การวางเฉย ในอารมณ์ทั้งปวง อะไรจะเกิด มันต้องเกิด”(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)