Site icon บางแสน

หนึ่งนางประกาศิต | นิยาย Dek-D | LINE TODAY

หนึ่งนางประกาศิต

หนึ่งนางประกาศิต

เกิดมาเป็นสตรีว่ายากแล้ว เกิดเป็นเชื้อพระวงศ์นั้นยากกว่า ยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์หญิงพระองค์แรกของราชวงศ์…ไม่เป็นสุดที่รักสุดที่หวงก็ให้มันรู้ไป!!!!

ข้อมูลเบื้องต้น

หนึ่งนางประกาศิต

ภาค พระธิดาคานทอง

ตอน บุปผาผลิบานข้างบัลลังก์

พบพักตร์เพียงหนึ่งครา ตรึงตราชั่วชีวัน

สบเนตรเพียงเสี้ยววิถูกลิขิตเป็นทาสนาง

เคยไหม? ที่พูดออกมาแบบไม่ได้คิดอะไร

แต่คนฟังแม่งคิด….

คิดไปไกล

แถมยังสั่งให้เราทำ

ขัดก็ไม่ได้ เดี๋ยวหัวหลุด….

บอกไม่ได้สนใจ

แต่อย่าให้ผิดหวัง

แม่ง….

ด่าก็ไม่ได้อีก

เดี๋ยวบาปแดรก

เพราะคนฟัง

เป็นพ่อของตัวเอง

อืม…

อ่อนช้อยประณีตกิริยาสูงศักดิ์

กราบเทียนฮองเฮาและสี่พระชายาเป็นอาจารย์

ไม่กลัวลูกถูกพวกพระนางสังหารหรือไร

แกร่งกล้าดั่งเทพนักรบ

กราบองค์จักรพรรดิเป็นอาจารย์

ไม่กลัวลูกถูกบรรดาเสด็จพี่ฟาดฟันด้วยสายพระเนตรก็เอาเลยเพคะ

ดังนั้นแล้ว

“องค์หญิงหงเทียนเฟิ่งเยี่ยกราบองค์จักรพรรดิและเทียนฮองเฮาเป็นอาจารย์

เพื่อรับตำแหน่งจอมนางประกาศิตใน 800 ปีให้หลัง”

ขอบคุณ!!!!!

ภาคพระธิดาคานทอง

**ตอนที่ 1 : บุปผาผลิบานข้างบัลลังก์ (ปัจจุบัน)

ตอนที่ 2 (จบภาค) : บุปผาสะพรั่งสองฤดู

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ นามปากกานักเขียนชื่อ ขาวปั้น

เป็นนักเขียนชอบดอง หมดแพชชั่นบ่อยมากๆ

แต่ก็เปิดเรื่องนิยายใหม่ๆขึ้นมาเหมือนกัน

10/02/2564

กลับมาแล้วค่าาา ไรท์เรียนจบแล้ววว T0T ขอโทษนักอ่านทุกๆท่านที่หายไปหัวแบบลาลับ

กว่าจะโผล่มาก็ 4 ปีแล้ว ขอบคุณนักอ่านทุกๆคนที่ยังรอ ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้กลับมามีไฟสุดๆ

และมีเวลาให้สำหรับการแต่งนิยายอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินกับนิยายเรื่องนี้

และน้องหนูเฟิ่งเยี่ยนี้อีกครั้งนะคะ

ปล.ขออนุญาตลบเพจออกก่อนนะคะ พอดีไรท์จำรหัสผ่านไม่ได้ค่ะ

ปฐมบทประกาศิตวาจา

ปฐมบทประกาศิตวาจา

เผลอไปปากดีเข้าเสียแล้ว เฟิ่งเยี่ยทำหน้าเหวอ กลืนน้ำลายลงคอแล้วยิ้มให้เสด็จพ่อแห้งๆดวงตากลมโตสีเงินประกายรุ้งสบตากับผู้เป็นพ่ออย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ลูก…เอ่อ แหะ…แหะ”

เฉินกงกงที่อยู่เยื้องซ้ายอ้าปากค้าง มองร่างองค์หญิงน้อยที่ถูกโอบอุ้มด้วยอ้อมพระพาหาของฝ่าบาท ในใจกงกงหนุ่มลอบร้องว่า “แย่แล้ว”

“แผ่นดินของข้าจะต้องไม่มีการแย่งชิงบัลลังก์เกิดขึ้น เหล่าอำมาตย์เสนาบดีและแม่ทัพล้วนสามัคคีปรองดอง เหล่าองค์ชายรักใคร่กลมเกลียวสนิทสนมไม่คิดฆ่าฟัน” เสียงเนิบนาบชวนสะท้านใจเว้นว่าง

“…จะเป็นไปได้หรือ เฟิ่งน้อย”เปลี่ยนจากการโอบอุ้มเป็นการอุ้มชูขึ้นมา ดวงตาสีเงินประกายรุ้งคมกริบไม่ต่างจากใบมีดสบดวงตาสีแปลกของลูกสาว รอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้ายังไม่จากไปไหน เฟิ่งเยี่ยหลุบตาลงมองพื้น

ขาสั้นๆของนางลอยจากพื้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าร่วงลงไปคงเจ็บไม่น้อย แรงเขย่าตัวทำให้นางต้องช้อนสายตามองพระบิดาของตน

ท่านพ่อเจ้าขา….อย่าสบตาลูกแบบนี้ ใจลูกบ่ดี ฮืออออ

“เฟิ่งน้อย ตอบคำถามของพ่อสิ” แน่ะ ยังจะทวงคำตอบอีก พระธิดาองค์แรกในราชวงศ์หงเทียนทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ตอบยังไงถึงจะไม่ตายวะไอ้หมอก “ดะ..ได้สิเจ้าคะ ถ้าเสด็จพ่อให้ความร่วมมือกับลูก”

น่านน ปากดีไปอีกกู… ฮรึกกก

“งั้นหรือ”ใบหน้างดงามเหนือโลกายกยิ้มขึ้นมาอีกนิด “อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ เฟิ่งน้อย”

“หือ…?” อะไรๆๆ เดี๋ยวๆๆ นางยังไม่เข้าใจอะไรเลย ผิดหวังอะไรกันเพคะเสด็จพ่อ องค์หญิงน้อยเบิกตากว้างเมื่อเท้าแตะถึงพื้นดิน ก่อนจะก้าวถอยหลังจากพระบิดาสองก้าวอย่างงุนงง

“องค์หญิงหงเทียนเฟิ่งเยี่ย รับราชโองการ!”สุรเสียงกัมปนาทดังทั่วอุทยาน เหล่านางกำนัล ขันทีและทหารองครักษ์คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นราชโองการเรื่องอันใด

“มะ…หม่อมฉันรับราชโองการ”เอ่ยปากรับกันตาย ใครจะรู้ว่า…

“องค์หญิงหงเทียนเฟิ่งเยี่ย มีความประพฤติดีงาม ดำรงอยู่ในศีลธรรม ขอมอบตำแหน่งจอมนางประกาศิต เพื่อคอยปกปักษ์บัลลังก์รุ้งเมฆา ยามใดที่ข้าไม่สามารถเป็นออกว่าราชการได้ จอมนางประกาศิต จะต้องขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนเท่านั้น!!!

หากวันใดราชวงศ์หงเทียนมิสามารถคัดเลือกรัชทายาทที่ดีพร้อมขึ้นครองราชย์ แม้เวลาจะผันผ่านไปกี่หมื่นกี่แสนปี วันนั้นจอมนางประกาศิตจะต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวนางเอง มิมีผู้ใดสามารถขัดแย้งได้!

และนางจะเป็นผู้ดูแลและคัดเลือกสตรีที่คู่ควรให้แก่องค์ชายทั้งหลายด้วยของนาง เป็นผู้อนุญาตให้เหล่าองค์ชายเสกสมรสด้วยตัวเองเท่านั้น”

เฟิ่งเยี่ยสูดลมหายใจเข้าอก

“หม่อมฉันหงเทียนเฟิ่งเยี่ย รับราชโองการเพคะ”เสียงใสของเทพธิดาน้อยวัย 750 ปีขานรับ

“ดี! ลุกขึ้น เมื่อเป็นจอมนางประกาศิต พระบิดาจะสอนทุกสรรพวิชาของราชวงศ์ให้เจ้าเอง!!!!!”

“เพคะ เสด็จพ่อ….” เมื่อลุกขึ้นยืนหลังจากรับคำแล้ว ภาพของอุทยานหลวงที่แสนงดงามหมุนคว้าง

ว่าที่จอมนางประกาศิตล้มหน้าคว่ำสู่พื้นหญ้าของอุทยานหลวงทันที!!!!

นั่นคือจุดเริ่มต้น

จากเด็กรากหญ้าของโลกกลมๆสีฟ้าๆเขียวๆ

สู่องค์หญิงลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์หงเทียน

สตรีผู้จะเป็นตำนานให้กล่าวขานชั่วกาลนาน

นางเหนือกว่าบุรุษ เหนือกว่าสตรี

เมื่อมองดูอีกที

ไร้ชายคู่เคียง!!!!

“เพ้ยยยย นี่ข้าจะกลายเป็นสาวเทื้ออยู่บนคานงั้นรึ”

“ไม่ใช่คานธรรมดานะ มันคือคานทองประดับเพชรฝังมุกอย่างดีเลยล่ะลูกรัก”

หงเทียนเฟิ่งเยี่ย

เทพสตรีนางนี้จะเป็นตำนานชั่วนิรันดร์!!!!!

**ชี้แจ้ง คุณไรท์เตอร์หายไปไหนมาเอ่ย** 2/11/2566

สวัสดีค่า ไรท์เตอร์ขาวปั้นเองค่า ขอชี้แจงเป็นข้อๆนะคะ รู้สึกเหมือนมีหลายคำถามที่นักเขียนอยากตอบแล้วก็อยากบอกเลย แฮะๆ

1.นักเขียนหายไปไหนมาเอ่ยย

– ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษนักอ่านทุกๆคนด้วยนะคะที่หายไปแบบไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวเลย เนื่องจากไรท์เตอร์ต้องทำภารกิจสำคัญอันยาวนานมา 4 ปี เป็นนักศึกษาล่าใบปริญญา ด้วยความเรียนเยอะและมีความกดดันในการเรียนมาตลอดจนต่อให้อยากแต่งนิยายขนาดไหนก็ไม่มีไฟเลยค่ะ จะเขียนปุ๊บการเรียนก็เหมือนเป็นน้ำมาดับไฟซะจุดไม่ติดเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ไรท์เรียนจบแล้วค่า เลยสามารถมอบเวลาให้การเขียนนิยายได้อย่างเต็มที่

2.ไรท์ปิดตอนทำไมคะ จะปิดเรื่องหรือเปล่า

– ไม่ปิดเรื่องค่ะ แต่ขอรีไรท์สักหน่อย(อีกแล้ว) ต้องอธิบายก่อนว่านิยายเรื่องนี้ไรท์เตอร์เขียนประมาณ ม.4 หรือ ม.5 นี่แหละ ตอนนั้นคิดว่าภาษาไหวอยู่ พอกลับมาอ่านอีกทีมันไม่ได้เลยค่ะ สรรพนามไม่เหมือนกันซักรอบ จัดหน้าประหลาดอีก นิสัยน้องเฟิ่งเยี่ยก็ไม่คงที่ ตัวละครค่อนข้างเยอะ ถึงจะมีพล็อตที่เขียนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้วแต่ก็คิดว่าต้องแก้อยู่ดี เลยตัดสินใจปิดตอนและค่อยๆแก้พร้อมทวนภาษา และจัดระเบียบพล็อตใหม่ค่ะ ไม่ได้ต่างจากของเดิมมากแต่พยายามทำให้กระชับแล้วไม่ยืดเยื้ดเท่าเก่า

3.จะมาลงทุกวันไหม?

– จนกว่าจะจัดการข้อมูลในเรื่องจนครบจะมาทุกวันค่ะ และหลังจากตอนที่ 14 ปุ๊บ ไรท์จะพยายามมาทุกวันศุกร์เพื่อทำให้น้องเฟิ่งโตซักทีค่ะ

4.เมื่อไหร่อันธพาลใหญ่เราจะโต

– จบภาค 1 ค่ะ เพราะฉะนั้นมาร่วมเป็นกำลังใจและขู่เข็ญให้ไรท์เตอร์เขียนภาค 1 ให้จบด้วยนะคะ เพราะไรท์เตอร์ก็อยากเขียนความเฉิดฉายของเสี่ยวเยี่ยของเราตอนโตแล้วเหมือนกัน 555+

5.เรื่องนี้จะติดเหรียญไหม

– ไม่ติดจนกว่าจะจบค่ะ ทุกคนอ่านกันยาวๆแบบฉ่ำปอดเลย

6.ฝากนิยายเรื่องอื่น

– แพลนนิยายเดือนนี้นอกจากน้องหนูแล้วยังมีอีก 2 เรื่องนะคะ ถ้าไรท์เตอร์ลงเรียบร้อยจะลิงก์ให้น้า

พรวิวาห์แดนสวรรค์ กับ สาว 2000 ปีจะเป็นไอดอล

7.ช่องทางอื่นๆ ในการลงนิยาย

– ตอนนี้ลงใน readawrite ไว้ด้วยนะคะ ใครสะดวกช่องทางไหนสามารถติดตามช่องทางนั้นได้เลย

https://www.readawrite.com/a/cb532e7d47c583ce7776bbdcaf9fa133

8.จำนวนคำ

– ปกติแล้ว 1 ตอนของเราจะประมาณ 9000 – 15000 คำ ไรท์เตอร์อยากถามความคิดเห็นนักอ่านว่ารู้สึกยาวไปไหมสำหรับ 1 ตอน เพราะถ้ายาวไปเนี่ย เดี๋ยวตอนที่ 14 เป็นต้นไปเราจะจัดการให้น้อยลงเนาะ

9.จากใจไรท์เตอร์

– ขอบคุณนักอ่านทุกคนจริงที่รอไรท์เตอร์มาโดยตลอด คอยให้กำลังใจมาตลอด ไรท์เตอร์ต้องบอกจริงๆว่า ที่กลับมาเขียนได้ส่วนหนึ่งเพราะนักอ่านทุกๆคนที่ยังคอยอยู่เคียงข้างกัน

ขอบคุณมากนะคะ

2/11/2566

ขาวปั้น

ประกาศิตครั้งที่ ๑ : นามนั้นคือหงเทียนเฟิ่งเยี่ย (Re:Complete) 1/11/2022 แก้คำผิด

ประกาศิตครั้งที่ ๑ : นามนั้นคือหงเทียนเฟิ่งเยี่ย

หลี่ฉางอัน พระสนมต้องโทษ

ถูกเนรเทศให้อาศัยในตำหนักเย็น

หมู่เกาะเทวะเมฆาคือนั้นเป็นนามของแผ่นดินหนึ่ง แผ่นดินที่อยู่เหนือผืนปฐพี ลอยอยู่ท่ามกลางหมอกเมฆามีมิติสลับซับซ้อนและเงื่อนไขมากมายยากจะเข้าไปได้

เหล่ามนุษย์นั้นล้วนคิดว่านั่นคือสวรรค์ สวรรค์ที่ที่คู่ควรสำหรับผู้ประพฤติดี มีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับที่นั่นทั้งแต่งเติมเสริมเข้าจนเป็นเรื่องราวอันแสนยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เทพทุกตนที่เป็นคนดี พวกเขามีรัก โลภ โกรธ หลง เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์แต่เวลาของเทพและเทพธิดาทั้งหลายนั้นยืนยาวจนไม่มีวันตาย แตกต่างจากมนุษย์ที่มากก็สุดร้อยกว่าปีก็ตกสู่ห้วงปรภพถือกำเนิดใหม่

ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด

พวกเขาต่างเล่าขานว่าเวลาของมนุษย์เพียงหนึ่งปี เทียบเท่าของสวรรค์ได้ถึงร้อยปี แต่ความจริงแล้วเวลาของมนุษย์และสวรรค์เท่ากัน

มนุษย์หนึ่งปี สวรรค์หนึ่งปี

แต่เพราะทวยเทพนั้นมีการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างช้า เนื่องจากสะสมพลังตั้งแต่กำเนิด คล้ายกับการบำเพ็ญเพียรของมนุษย์ที่พยายามว่าจะก้าวพ้นความเป็นมนุษย์เพื่อเป็นเซียน

ถ้าให้คิดตามอายุแล้วหากเทพอายุหนึ่งร้อยปี ก็คงเทียบเท่ากับหนึ่งขวบของมนุษย์ แม้จะอายุเข้าไปรุ่นทวดของมนุษย์ก็ตามที หมู่เกาะเทวะเมฆามีจักรพรรดิเทพถึงสิบห้ารัชสมัย รัชสมัยแตกต่างกันไป แม้ว่าจะมีกำหนดให้ครองราชย์ถึงห้าหมื่นปี แต่ก็ไม่เคยมีองค์จักรพรรดิองค์ใดอยู่ถึงได้เลยซักคน

บัลลังก์รุ้งเมฆา บัลลังก์ย้อมโลหิตสีทองของรัชทายาทแต่ละรัชสมัย บุตรสังหารบิดา บิดาสังหารบุตร พี่สังหารน้อง น้องสังหารพี่

ไม่จบไม่สิ้น

ในรัชสมัยที่สิบห้าขององค์จักรพรรดิเทพหงเทียนหย่าเหริน นับว่าเป็นกลียุคของหมู่เกาะเทวะเมฆาอย่างแท้จริง

ว่ากันว่า…

จักรพรรดิเทพผู้นั้นไม่ใช่สายเลือดของปฐมราชวงศ์ถึงขลาดเขลาเห็นแก่อำนาจ หมกมุ่นในโลกีย์ ไม่สนใจเรื่องสงครามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไฟสงครามแย่งชิงอาณาจักรปะทุขึ้นหนักหนาทุกวัน ทว่าเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ นางสนม ขุนนาง เสนาอำมาตย์ กลับสังสรรค์จัดงานเลี้ยงฉลองไม่เว้นวัน

เหล่าประชาชนไร้ความศรัทธาต่อราชวงศ์ในยามนั้นอย่างแท้จริง

ข้าศึกจากเจี่ยนหลิงกรีฑาทัพเคลื่อนพลมาถึงป้อมปราการสุดท้ายก่อนถึงเมืองหลวง ชายชาตินักรบพลีชีพหวังปกป้องผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ผู้อยู่เบื้องสูงกลับประพฤติโสมมไร้ยางอาย

ก่อนป้อมปราการจะถูกตีแตก ก่อนนายทหารคนสุดท้ายจะสิ้นลม ก่อนเลือดหยาดสุดท้ายชโลมหมู่เกาะเทวะเมฆาที่ยิ่งใหญ่

หงเทียนหมิงอวี้พระอนุชาผู้ได้ชื่อว่าเป็นกบฏถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนทางใต้ยกทัพเรือนหมื่นประหัตประหารอริราชต่างแดนจนหมดสิ้น รวมถึงบุกเข้าพระราชวังทำลายงานเลี้ยงที่มิอาจทราบได้ว่าฉลองเนื่องในโอกาสใด…

สะบั้นความเป็นพี่น้อง หงเทียนหมิงอวี้ลากคอจักรพรรดิเทพผู้เป็นพระเชษฐาจากบัลลังก์คุมขังไว้ที่คุกหลวง ปลดเทียนฮองเฮาลงจากตำแหน่งและบังคับให้ลงลานประหารไปกำเนิดเป็นมนุษย์เข้าสู่วัฏจักรสงสาร

เสนาอำมาตย์และขันทีชั่วที่หลบหนีสุดท้ายก็ต้องมาอยู่บนแท่นประหาร ในยามนั้นลานประหารของหมู่เกาะเทวะเมฆาที่สูงส่งนองโลหิตไม่เว้นวัน เหล่านางสนมคนใดของฮ่องเต้รัชกาลก่อนที่ไม่ยอมออกจากวังหลวงก็ถูกส่งตัวให้เป็นของขวัญชมเชยให้แก่นายทหารตามชายแดนของอาราจักร

ได้ชื่อว่าเป็นกบฏแต่ขับไล่ข้าศึกช่วยแผ่นดินไม่ให้ตกเป็นข้าใคร ขับไล่ผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ จับเสนาและข้าราชการที่คดโกงแผ่นดิน

แม้นหวาดกลัว…ทว่า

ราษฎรแซ่ซ้องสรรเสริญ…

หงเทียนหมิงอวี้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเทพในเวลาถัดมา เมื่อครองบัลลังก์ได้ไม่นานนัก หงเทียนอวี้ได้ออกราชโองการแต่งตั้งหนึ่งเทียนฮองเฮา สี่เทียนเฟยจากห้าตระกูลใหญ่ของอาณาจักร

ซิงเทียนฮองเฮา หรือ ซิงเหมยฮวา ธิดาของซิงฮั่นกวงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ตระกูลหลักของเผ่าเทพดารา ทำนายดวงชะตาแห่งแผ่นดิน

หั่วเทียนกุ้ยเฟย หรือ หั่วเหมยอวี้ ธิดาของหั่วกวงแม่ทัพหลวง ตระกูลหลักของเผ่าเทพอัคคี

ถู่เทียนฮุ่ยเฟย หรือ ถู่ไป๋เซียง ธิดาของถู่หยางไท่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ตระกูลแห่งเทพพสุธา

สุ่ยเทียนเต๋อเฟย หรือ สุ่ยเพ่ยเอิน ธิดาของสุ่ยหนิงหัวหน้าเทพโอสถหลวง ตระกูลเทพวารี

เฟิงเทียนเสียนเฟย หรือ เฟิงจื่อหยา ธิดาของชิงหลัวเจ้ากรมการคลัง ตระกูลเผ่าเทพวายุ

ข่าวการคัดเลือกนางสนมและนางกำนัลประกาศทั่วอาณาจักร แม้เซิ่งฮวาฉางอันเป็นเทพบุปผาอยู่แดนเหนือยังรับรู้ ว่าบุรุษที่นางหลงรักมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นมีสตรีสูงศักดิ์อยู่เคียงข้างถึงห้านาง ถึงจะไม่ได้นั่งข้างกายของเขา แต่หากอยู่ใต้อำนาจของเขาเซิ่งฮวาฉางอันก็ยินดี

ยินดีที่จะหลบหนีออกจากเผ่า หนีจากการเป็นเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์ผู้ถือกำเนิดจากมัธชกาบงกช ดอกไม้สารพัดประโยชน์นั่น

เผ่าเทพบุปผาเป็นสายแขนงของเผ่าเทพพสุธา มีการแต่งตั้งเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์เป็นตุ๊กตาประดับบารมี และผู้ที่จะเป็นเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นจะต้องถือกำเนิดจากดอกมัธชกาบงกชเท่านั้น

นางเกลียด…กลิ่นหอมๆที่มักจะแผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

นางเกลียด…ที่จะต้องอยู่ในกรอบของพวกอาวุโสหัวโบราณนั่น

นางเกลียด…ที่ไปไหนก็จะต้องมีคนตามติดประหนึ่งนักโทษ

นางเกลียด…ที่แม้แต่ความรัก พวกเขาก็ไม่ยอมให้นางได้สัมผัส

เกลียดความคิดเต่าล้านปีตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ยังไม่ถือกำเนิดของพวกเทพอาวุโสนั่น

หากเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์มีความรัก มีบุตรธิดาแล้วล่ะก็…เผ่าเทพบุปผาจะล่มสลายไปตลอดกาล

ปัญญาอ่อนเถิด!

แค่นางจะมีลูกมีคนรัก และสร้างครอบครัว เผ่าจะมาล่มสลายได้อย่างไร? ต่อให้นางเป็นเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไร ในเมื่อนางอยากมีคนรัก อยากไปหาผู้ที่นางหลงรัก จะมานั่งโง่อยู่เป็นเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์ให้แก่หงำเหงือกรอความตายในเผ่าไปวัน ๆ ทำไม

ชีวิตเกิดมามีครั้งเดียว ถ้าไม่ทำสิ่งที่ต้องการนางคงเสียใจไปตลอดกาล!!!

นางเลือกที่จะหลบหนีออกจากเผ่าปลอมกายเป็นเทพบุปผาธรรมดาทั่วไป เปลี่ยนแซ่เซิ่งฮวาฉางอันเปลี่ยนเป็นหลี่ฉางอันแทน หลี่ฉางอันดั้นด้นจากแดนเหนือเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นนางในและพระสนมขององค์จักรพรรดิเทพ ด้วยเหตุว่านางคือเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีใครได้พบนางนอกจากผู้อาวุโสในเผ่า แต่ทว่าเพื่อไม่ให้โดนจับได้ นางจึงปลอมรูปร่างหน้าตาที่งดงามเฉิดฉันท์เฉกเช่นหญิงงามล่มเมืองเป็นสตรีที่มีใบหน้าเรียบง่าย หากเดินผ่านไปกี่ชั่วก้านธูปทุกคนก็คงลืมสิ้น ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้นางกลายเป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาสามัญที่ทำงานรับใช้หั่วเทียนกุ้ยเฟย

แต่อย่างไรก็ตาม

องค์จักรพรรดิเทพเสด็จมาที่ตำหนักของหั่วเทียนกุ้ยเฟยบ่อยครั้ง แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดพระองค์ถึงเสด็จมาหั่วเทียนกุ้ยเฟยได้อยู่ทุกวัน

แต่เพลิงริษยาลุกท่วมดวงใจนางทั้งดวง

หลี่ฉางอันพยายามทำหน้าที่ที่ได้รับสุดความสามารถจากนางกำนัลปลายแถวกลายเป็นนางกำนัลคนสนิทของหั่วเทียนกุ้ยเฟยได้

สตรีผู้นี้ชอบสิ่งใด รักสิ่งใด เกลียดสิ่งใดนางล้วนรู้

และแน่นอนนางไม่เคยหวังดีต่อสตรีสูงศักดิ์นี่ซักนิด ยิ่งเข้าใกล้สตรีนางนี้เมื่อไหร่ นางมักแอบวางยาพิษที่เค้นจากโลหิตของนางให้สตรีแซ่หั่วดื่มกินเสมอ

ซึ่งนางไม่เคยถูกจับได้

นางอยู่ร่วมใช้ชีวิตกับสตรีแซ่หั่วทุกคืนทุกวันนานถึงสองร้อยปี และแล้ววันเวลาของนางก็มาถึง หั่วเทียนกุ้ยเฟยนั้นลากลับเยี่ยมมารดา ในคราแรกสตรีนางนั้นจะให้นางไปด้วยแต่มิคาดว่านางกลับไม่สบายเสียก่อนจึงไม่สามารถติดตามหั่วเทียนกุ้ยเฟยกลับบ้านได้

เมื่อาการดีขึ้นนางจึงลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตามปกติ แม้ก่อนหน้านั้นหั่วเทียนกุ้ยเฟยจะห้ามไม่ให้นางทำก็เถิด และนั่นทำให้นางพบกับองค์จักรพรรดิเทพ ณ สวนหน้าตำหนักของพระนาง จึงรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ถวายบังคมแก่จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ค้างอยู่ท่านั้น จนกระทั่งเสียงนุ่มรื่นหูดังกังวานขึ้น

“เราคอแห้ง”

นางตอบรับอย่างไร้สติ แล้วถอยหลังรีบเดินไปหาน้ำชามาให้พระองค์โดยเร็วที่สุด เมื่อจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยจึงรีบนำออกมาจนเกือบชนร่างหนาเบื้องหน้า

แต่ยังดีที่ร่างหนานั้นคว้าร่างนางได้ทัน เมื่อนางลืมตาขึ้นมาจึงพบว่าเป็นองค์จักรพรรดิผู้มีใบหน้างดงามเหนือโลกา แม้นางยามเป็นเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์ยังด้อยลงไปหลายส่วน พระองค์ปล่อยๆนางให้ทรงตัวก่อนผละกายออก

เขาทิ้งคำสั้นๆว่าระวังหน่อย ก่อนจะเดินนำนางไปที่ระเบียงมุมโปรดของหั่วเทียนกุ้ยเฟย กระดานหมากที่ยังมีตัวหมากวางค้างไว้เต็มไปหมด พระองค์ยกยิ้มพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วนั่งลงเล่นหมากต่อจากนั้น

นางถือถาดน้ำชาก่อนจะวางไว้บนโต๊ะอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนการใช้สมาธิของพระองค์ และยังอยู่ตรงที่เดิมไม่ไปไหน จนกระทั่งพระองค์สะบัดมือเพียงครั้งหนึ่งนางจึงค่อยเดินเข้าไปรินน้ำชาที่ผสมยาถึงฝันพระองค์ดื่มมันจนหมดจอก ไม่นานนักฤทธิ์ยาก็แสดงผล ใบหน้างดงามเหนือโลกาของพระองค์นั้นแดงระเรื่อ นางรีบปรี่เข้าไปพยุงร่างสูงศักดิ์ด้วยความรักความเทิดทูน

พระองค์หัวเราะเบาแล้วตรัสกับนางเสียงกังวานเช่นเดิม ดวงตาสีเงินประกายรุ้งวาวามราวกับดวงดาวนั้นสบตาของนางลึกซึ้ง

“แน่ใจหรือ?”

ถ้าไม่แน่ใจแล้วนางจะปลอมกายเป็นหลี่ฉางอันสตรีหน้าจืด นางกำนัลคนสนิทของหั่วเทียนกุ้ยเฟยทำไม ละทิ้งตำแหน่งเทพบุปผาศักดิ์สิทธิ์อันแสนสุขสบายไปเพื่ออะไรกัน

หลังจากที่นางตื่นขึ้นมาจึงพบว่า หั่วเทียนกุ้ยเฟยกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของพระนาง ไอความร้อนแผดเผาทั่วตำหนัก พระนางจ้องมองที่นางด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

แววตาที่เยือกเย็นแต่กลับแผดเผาใจคนสบนัยน์นั้นให้เป็นจุณ

เมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จกลับตำหนัก จึงเหลือแต่นางกับหั่วเทียนกุ้ยเฟย สตรีนางนั้นเงียบนิ่งจนน่าแปลกใจ ทั้งที่หลี่ฉางอันคิดว่าพระนางจะโวยวายด่าทอนางเสียอีก

ไม่กี่ยามถัดมา เฉินกงกงได้ยืนประกาศราชโองการหน้าตำหนัก แต่ตั้งหลี่ฉางอันเป็นนางสนมขั้น 5 และมอบตำหนักที่อยู่ทิศตรงข้ามกับตำหนักของเทียนกุ้ยเฟย หลังนางย้ายออกจากตำหนักของพระนางได้ไม่กี่วัน ตำหนักของเทียนกุ้ยเฟยมอดไหม้ลุกโหมด้วยเพลิงอัคคีศักดิ์สิทธิ์

ไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี

ในเวลานั้นเป็นเวลาช่วงสงครามระหว่างหงเทียนและเจี่ยนหลิง นางไม่ได้ทราบความอะไรมากนัก แต่ก็รู้มาว่าซิงเทียนฮองเฮาให้ที่พักและทำการรักษาสายลับจากเจี่ยนหลิง พระนางจึงถูกปลดตำแหน่งออก เนรเทศให้อยู่ตำหนักเย็นชั่วชีวิต

แม้ตามหลักความเป็นจริงจะต้องถูกประหารแล้วก็ตาม

คล้อยหลังซิงเทียนฮองเฮาแล้ว ก็เป็นตัวนางเองที่ถูกเนรเทศเข้าตำหนักเย็น นางปัดโถบรรจุโอสถทิพย์ของสุ่ยเทียนฮุ่ยเฟยจนแตกกลางท้องพระโรง

ไม่ใช่ว่านางไม่ตั้งใจ นางตั้งใจที่จะปัดให้มันตกแตกไป เนื่องจากมันมีกลิ่นไม้มีพิษชนิดหนึ่ง ที่เทพหลายๆองค์ไม่รู้จัก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกมีพิษ นอกจากเทพพฤกษาและเทพบุปผาที่สามารถจำแนกพิษชนิดนี้ได้อย่างแม่นยำ นางพยายามบอกว่าในโอสถนั้นมียาพิษซ่อนอยู่แต่ก็ไม่มีใครเชื่อและแน่นอน

องค์จักรพรรดิเนรเทศหลี่ฉางอันเข้าตำหนักเย็นทันที ไม่ฟังในสิ่งที่นางต้องการพยายามบอกเลยซักนิด

เศร้าได้ไม่นาน ก็มีเรื่องที่น่าตกใจขึ้นมาใหม่ เมื่อผู้เข้าตำหนักเย็นคนถัดมาเป็นถึงเฟิงเทียนเสียนเฟยก็ถูกเนรเทศเข้ามาในตำหนักเย็นเหมือนกัน เพราะว่านางทำโถบรรจุวิญญาณของเทพบรรพกาลเยี่ยหลงตกแตก

หงเทียนเยี่ยหลง เทพมารบรรพกาลฝาแฝดของหงเทียนหยางเยี่ยปฐมราชวงศ์หงเทียน

ผู้มีจิตอาฆาตต่อสรรพสิ่งหลุดออกมา

ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ใด

ดวงจิตดวงนั้นล่องลอยไปที่ใดแล้ว?

นางเฝ้ารออยู่หน้าตำหนักเหมือนเป็นบ้า หวังว่าฝ่าบาทจะเข้าใจความหมายที่นางทำ วันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า นอกจากพระองค์จะไม่มาแล้ว ยังส่งทหารมาเฝ้ากำแพงตำหนักเย็นอีกต่างหาก

เวลาผ่านไปถึงหนึ่งปี หลี่ฉางอันจึงรู้ว่า นางกำลังตั้งครรภ์ หากเทพบุปผาตั้งครรภ์เมื่อใด ต่อให้มีพลังมากมายมหาศาลแค่ไหนก็มิอาจเรียกใช้ได้ เพราะพลังทั้งหมดกำลังจะส่งต่อให้เจ้าตัวน้อยในครรภ์ และแน่นอนความสามารถในการรับรู้ยาพิษของนางก็มิอาจใช้การได้

หากเป็นบุตรชาย…ฝ่าบาทจะต้องดีใจเป็นแน่

บุตรชาย

ซิงเทียนเหมยฮวาและเฟิงจื่อหยาที่อยู่ในตำหนักเย็นเช่นเดียวกับนาง พวกนางทั้งสองต่างรู้ว่าหลี่ฉางอันกำลังตั้งครรภ์แต่ก็ไม่ได้สนใจเสียเท่าไหร่ เฟิงจื่อหยาอยู่ในที่ของนางหากไม่มีความจำเป็นนางจะไม่มีวันก้าวออกมาจากห้องของตน เช่นเดียวกับซิงเหมยฮวาที่มีร่างกายอ่อนแอหลังจากเข้ามาในตำหนักเย็นได้นาน นางมักไปนั่งนอกตำหนักมองพื้นดินอยู่เช่นนั้นเรื่อยมา

เมื่อผ่านไป 9 ปี หลี่ฉางอันปวดท้องจะคลอดแต่ก็ไม่คลอดผ่านไปถึง 9 วัน นางคลอดทารกน้อยมาในวันที่พระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่นางไม่สามารถควบคุมพลังได้ รูปลักษณ์และกลิ่นหอมของนางแผ่อบอวลกลบกลิ่นโลหิตจนหมดสิ้น เฟิงจื่อหยาและซิงเหมยฮวาต่างนิ่งค้างด้วยความตกใจ จากสตรีผู้มีใบหน้าธรรมดาการเป็นสตรีผู้มีใบหน้างดงามเฉิดฉันท์ล่มเมือง เส้นเกศาสีแดงสดราวกับกุหลาบแดง ดวงตาสีทองเฉกเช่นเกสรบัวพราวด้วยหยาดน้ำตาเพราะความเจ็บปวด

สตรีผู้นี้ปลอมตัวเข้ามานางวังหลวงแต่ไม่เคยถูกจับได้…และการที่นางตั้งครรภ์คลอดเทพธิดาตัวน้อยเป็นสตรีออกมานั้น

คงเป็นเพราะว่านางคบชู้สู่ชาย

ไม่…ไม่ใช่

ทารกน้อยลืมตาขึ้นพวกนางต้องเปลี่ยนความคิด ดวงตาสีเงินสว่างมีละอองรุ้งคล้ายประกายดาวระยิบระยับทั่วนัยน์ตาอันเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์หงเทียน กลิ่นกายยังหอมอ่อนๆจรุงจิตแม้จะไม่หอมเท่ากับหลี่ฉางอันก็ตาม

บุตรชายที่นางวาดหวังกลับเป็นสตรี ทารกน้อยตัวจ้อยผิวขาวอมชมพูแสนน่าชัง นางเหมือนดอกบัวตูมดอกน้อยที่กำลังรอการเติบโตเบ่งบาน

แต่แล้วอย่างไรเล่า…ไม่ได้บุตรชายจะมีประโยชน์อันใดกับการที่นางตั้งครรภ์มาถึงเก้าปี

เก้าปีที่แลกมากับความผิดหวัง

และต้องยาพิษ…

ยามนางตั้งครรภ์นางไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอาหารที่นางได้ทานไปนั้น ผสมยาพิษอยู่ด้วย… หลังคลอดเจ้าทารกน้อยตัวจ้อย พลังและความสามารถทั้งหมดของนางกลับคืนมาจึงรู้ว่าร่างกายของนางต้องยาพิษจำนวนมาก

แน่นอน…ยาพิษสามารถส่งต่อได้ทั้งเลือด และน้ำนม เจ้าทารกตัวจ้อยนี่คงเป็นศัตรูของนางกลับชาติมาเกิดเป็นแน่ ต้องคลอดก็ทรมานร่างกายนางนักหนา หลังคลอดยังโดนยาพิษ แม้แต่น้ำนมเพียงหนึ่งหยดก็ไม่อาจป้อนให้ได้ ทำให้สองสตรีนั่นคิดว่านางรังเกียจลูกของตัวเอง ไม่ยอมให้น้ำนมเพราะไม่ใช่บุตรชาย

บ้าเอ้ย ข้าตั้งครรภ์เจ้าบัวน้อยนี่มาถึงเก้าปี ไม่คิดว่าข้าจะมีเยื่อใยกับนางหรืออย่างไร แต่ก็ช่างเถิดอย่างไรสตรีสองนางนั้นย่อมเลี้ยงเจ้าบัวน้อยได้ดีกว่านางแน่

อีกอย่าง…เจ้าบัวน้อยยังติดพิษบางส่วนที่นางได้รับมาอีกต่างหาก สำหรับเทพที่โตแล้วอาจจะดูน้อยนิด หากทว่าเทพทารกนั้นเมื่อโดนยาพิษขนาดนั้นไปคงไม่รอดชีวิต

ผู้ใดกันช่างใจร้ายยิ่ง วางยาพิษที่สามารถส่งต่อไปถึงเด็กในครรภ์ได้ คงคิดสังหารนางและเจ้าบัวน้อยนี่ถึงตายเลยด้วยซ้ำ

เคราะห์ยังดีที่นางเป็นเทพบุปผามัธชกาบงกชที่สามารถรักษาตัวเองได้ แต่ถึงกระนั้นนางสามารถกลับลบล้างยาพิษได้บางส่วนเท่านั้น เพราะมีส่วนผสมบางชนิดต่อต้านการรักษาของมัธชกาบงกชอยู่

พิษแปลกประหลาดนั่นกัดกินพลังชีวิตของนางไปเรื่อยๆ

หากนางดึงความสามารถทั้งหมดของมัธชกาบงกชทั้งหมดมารักษาตัวนางเองก็คงหายขาด แต่ว่าเจ้าบัวน้อยนั้นกลับต้องยาพิษชนิดเดียวกับนาง

ระหว่างนางกับลูก?

เหอะๆ

ชิงชังเพียงใด…แต่นางก็รักเจ้าบัวน้อยของนางเหลือเกิน แม้ว่าเจ้าบัวน้อยจะขี้โวยวายไปบ้างแต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบัวน้อยของนางช่างน่ารักน่าชังจริงๆ

ชีวิตของนางเดี๋ยวก็ตาย แต่เจ้าบัวน้อยของนางเพิ่งจะลืมตาเกิดมาด้วยซ้ำ

เอาเถิด…ความตายคงไม่เจ็บปวดเสียเท่าไหร่

ลาก่อนเซิ่งฮวาตัวน้อยของข้า

มาสิความตาย ข้าพร้อมแล้ว….

วันเวลาผันผ่าน ในตำหนักเย็นเหลือเพียงซิงเหมยฮวา เฟิงจื่อหยาและเชื้อพระวงศ์หญิงพระองค์แรกแห่งหงเทียน หลังจากที่หลี่ฉางอันสิ้นใจตาย ร่างกายกลายเป็นดอกไม้แรกกำเนิด พวกนางนำดอกไม้ที่แสนงดงามนั่นฝังไว้ที่หลังตำหนักเย็น

อีกทั้งก่อนตายหลี่ฉางอันยังไม่ได้ตั้งชื่อให้เจ้าตัวน้อยนี่ด้วยซ้ำ

เทพธิดาตัวน้อยเกิดยามราตรี พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง

เฟิงจื่อหยาต้องการให้เทพธิดาตัวน้อยชื่อว่า ม่านเยี่ย ซึ่งหมายถึงพระจันทร์เต็มดวง

ส่วนซิงเหมยฮวาต้องการให้นางมีนามว่า เฟิ่งหวง ซึ่งหมายถึง หงส์ไฟ

พวกนางทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก จึงทะเลาะโวยวายเรื่องนามของเทพธิดาตัวน้อย ส่วนเจ้าตัวได้แต่นอนมองเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ปริบๆ

นี่ฉันจะอยู่รอดครบสามสิบสองประการไหมเนี่ย?

สุดท้ายก็เป็นอันตกลง ยอมกันคนละครึ่งทาง

หง-เทียน-เฟิ่ง-เยี่ย

เชื้อพระวงศ์หญิงพระองค์แรกแห่งหงเทียน

สายน้ำไหลไปไม่ย้อนกลับ วันเวลาผ่านไปไม่หวนคืน นับตั้งแต่ที่หลี่ฉางอันสิ้นวิญญาณ ตัวนางซิงเหมยฮวาและเฟิงจื่อหยา ช่วยกันดูแลฟูมฟักเจ้าตัวน้อยถึง 700 ปี หงเทียนเฟิ่งเยี่ยเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดช่างพูดช่างเจรจา ขี้อ้อนเป็นนักหนา หากแต่ก็ดื้อเงียบเกินผู้ใดยามที่ต้องการจะทำอะไรบางสิ่ง

ภายในห้องนอนของตำหนักเย็น มีเตียงไม้ฉลุลายอย่างงดงามวางติดกำแพง ด้านบนถูกแกะสลักลวดลายเมฆาเป็นหลังคาปกป้องอันตรายให้แก่ผู้นอน ภายในนั้นปรากฏร่างเล็ก ๆ หนึ่งร่างที่กำลังทอดกายนอนหลับอย่างสบายใจ โดยมีร่างของสตรีสองคนยืนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจอยู่ข้างเตียง

“เฟิ่งเอ๋อร์ ตื่นได้แล้วลูก”

“เสี่ยวเยี่ยจอมขี้เกียจ ตื่นเดี๋ยวนี้เลย”

“ฮรืออ”เด็กน้อยผู้มีเกศาดั่งทองคำเอาหน้าถูหมอนด้วยความขัดใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกหวานของท่านแม่ทั้งสองคน

“ยังจะเอาหน้าถูหมอนอีก เสี่ยวเยี่ย!”น้ำเสียงดุแกมหยอก พร้อมกับนิ้วมือนุ่มนิ่มที่บีบแก้มปลุกเบาๆ

“ฮืออออ”ร้องขัดใจไปเท่านั้น เมื่อมีแขนมาดึงตัวเจ้าตัวน้อยให้ตัวตั้งตรง เมื่อเทพธิดาน้อยลืมตาขึ้นมาจึงเห็นใบหน้างดงามของผู้เลี้ยงดูของนางตั้งแต่เกิด เป็นสตรีที่มีเรือนผมสีดำ ดวงตาแสนอ่อนโยนสีฟ้าครามหรือซิงเหมยฮวาอดีตเทียนฮองเฮาของจักรพรรดิเทพองค์ปัจจุบัน และอดีตพระสนมเฟิงจื่อหยาผู้มีศักดิ์เป้นมารดาเลี้ยงของนางกำลังเอามือบีบแก้มเจ้าตัวน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว

“ยังไม่เช้าเลยนะเจ้าคะท่านแม่”เทพธิดาน้อยพูดเสียงอู้อี้ แก้มกลมอมลมป่อง มารดาทั้งสองแอบกลั้นยิ้มแล้วตีหน้าดุ เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กกำลังมองตาแป๋วทำสีหน้าออดอ้อนคล้ายให้นางนอนต่อ

“เช้า-แล้ว”เฟิงจื่อหยาเอามือออกแล้วทำเสียงแข็ง ขณะที่ซิงเหมยฮวาพยักหน้ารับ เมื่อเห็นดังนั้น

“โถ่….”เจ้าตัวเล็กครางเสียงอ่อน

“โถ่อะไรกัน เฟิ่งเอ๋อร์ ดูสิ เป็นสตรีแท้ๆ เหตุใดนอนให้เผ้าผมยุ่งขนาดนี้”ซิงเหมยฮวาเอ่ยปากตำหนิเสียงหวาน แต่ก็ขยับกายเข้าไปสางเกศาสีทองอ่อนของบุตรสาววัยเยาว์ ดวงตาสีเงินประกายรุ้งวาววามมองนางก่อนจะเริ่มปรือตาอีกครั้ง ซิงเหมยฮวาส่ายหัวเบา ๆ

“แป๊ะ”

“งื้อออ”หงเทียนเฟิ่งเยี่ยกำลังปรือตาใกล้หลับพลันตาสว่าง เมื่อมีนิ้วเทพธิดาสะกิดเข้าที่หน้าผาก เทพธิดาน้อยสบนัยน์สีฟ้าอมเขียวก่อนจะย่นจมูกใส่ จากนั้นก็ปีนลงจากเตียง ไปอาบน้ำที่พวกนางทั้งสองเตรียมไว้ให้ เฟิงจื่อหยามองจนลับหลังเล็กนั่นแล้วหันไปกล่าวกับเพื่อนสาว

“ตัวขี้เกียจน้อยนั่น พอตื่นเต็มตาคงจะไปหาเรื่องซนต่อเป็นแน่”ว่าแล้วส่ายหัว“นางเหมือนฝ่าบาทมาก”

“ไม่…นางไม่เหมือนเขาเลยสักนิด”หากแต่ซิงเหมยฮวากลับเอ่ยออกมาราวกับเสียงกระซิบ ดวงตาสีฟ้าครามฉายแววเคียดแค้น เฟิงจื่อหยาหลุบตาลงไม่กล่าวต่อเพียงแค่คิดในใจ

ทุกอย่างของเสี่ยวเยี่ยล้วนถอดแบบมาจากพระราชบิดานางหมด จะนิสัยหรือรูปลักษณ์ก็ตาม

หงเทียนเฟิ่งเยี่ยนั้นเป็นพระธิดาของหงเทียนหมิงอี้ จักรพรรดิเทพองค์ปัจจุบัน แม้ทุกวันนี้พระองค์จะยังไม่รู้ว่าได้มีเชื้อสายของพระองค์ที่เป็นสตรีถือกำเนิดมา แต่ในฐานะที่เป็นชาวเทวาที่อยู่ใต้เบื้องบาทขององค์จักรพรรดิเทพ พวกนางมิอาจทำเฉยเมยปล่อยการวางตัวของเทพสตรีวัยเยาว์ตัวน้อยผู้นี้ และมิอาจปล่อยให้เจ้าตัวน้อยผู้นี้อ่อนแอโดนคนลอบทำร้าย

ซิงเหมยฮวาผู้เป็นอดีตเทียนฮองเฮาจึงสอนมารยาท การวางตัวของสตรีผู้สูงศักดิ์ การวางสีหน้า การปักผ้า การดีดพิณ หมากล้อม กลอน กลอุบาย ยาพิษ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้รับการถ่ายทอดและสั่งสมประสบการณ์จากวังหลังอันโสมมม

เฟิงจื่อหยาแม้อดีตเป็นเทียนเสียนเฟย และบิดาเป็นเพียงเจ้ากรมคลัง หากแต่นางมีวิทยายุทธและพลังมนตราอันแข็งแกร่ง จึงทำการสอนสั่งบุตรสาวในเรื่องการต่อสู้ด้วยตนเอง ทั้งการใช้มนตรา การใช้พลังกายที่ส่วนใหญ่จะฝึกแต่เทพนักรบ

“ท่านแม่เจ้าขา”น้ำเสียงลากยาวทำให้ซิงเหมยฮวาและเฟิงจื่อหยารู้ว่าเจ้าตัวคงแต่งตัวเสร็จแล้ว ร่างน้อยในอาภรณ์สีฟ้าอมม่วงเข้มไล่สีอ่อนลงไปด้านใน ชุดคลุมข้างนอกนั้นถูกปักลายเมฆาสีเงินเป็นระยิบระยับ นางเดินเตาะแตะไปทางโต๊ะเครื่องแป้ง

สตรีทั้งสองลุกขึ้น ซิงเหมยฮวาเดินไปอยู่ด้านหลังของลูกสาว ส่วนเฟิงจื่อหยานั้นก้าวเข้าไปหยิบริ้วผ้าสีฟ้าที่ถูกปักด้ายสีน้ำเงินเป็นลวดลายออกมาให้ซิงเหมยฮวาหลายเส้น

อดีตเทียนฮองเฮาของจักรพรรดิเทพหงเทียนหมิงอวี้อยู่ในชุดสีชมพูอ่อนเรียบง่าย นางกำลังสางเกศาสีทองสุกปลั่งอย่างเบามือ หงเทียนเฟิ่งเยี่ยมองใบหน้าของตัวเองผ่านกระจกใส แล้วถอนหายใจ

ทำไมชีวิตของข้ามันเงียบเหงาขนาดนี้นะ คิดไปก็เท่านั้น ใครใช้ให้ข้าเกิดในตำหนักเย็นที่ผู้คนไม่สนใจ

ซิงเหมยฮวาถักเปียแล้ว มวยผมของเด็กหญิงขึ้นกลางศีรษะ ก่อนจะใช้ริ้วผ้าสีฟ้าพันรอบฐานมวย โดยไขว้มัดปล่อยชายไว้ถึงกลางหลังเนื่องจากเฟิ่งเยี่ยผมยาวเพียงแค่กลางเท่านั้น

“อืมม”เฟิงจื่อหยาลูบคางขณะมองเฟิ่งเยี่ยก่อนจะหรี่ตาลง

“เอาปิ่นหยกธารามาปักตรงกลางหน่อยแล้วกัน”ว่าแล้วก็หันหลังไปเลื่อนลิ้นชักเก็บเครื่องประดับส่วนตัวทั้งหมดที่นางเอามาด้วยหลังจากต้องโทษ

ปิ่นหยกธาราเป็นของกำนัลที่เทพมหาสมุทรมอบให้นางเป็นของขวัญในวันขึ้นตำแหน่งเป็นเทียนเสียนเฟย หยกสีฟ้าอ่อนยามขยับไปมาจะเกิดกระแสนน้ำวนภายใน ถูกแกะสลักเป็นรูปผีเสื้อสยายปีก เฟิงจื่อหยาเสียบตรงกลางด้านหน้า และปักหยกสีฟ้าอ่อนสลับสีม่วงด้านล่างของฐานมวย ไม่นานนักซิงเหมยฮวาถือปิ่นปักผีเสื้อสีเงินมีพู่ห้อยระย้าสามเส้นเป็นอัญมณีทรงหยดน้ำที่สามารถเปลี่ยนสีอีกสองอันมาปักข้างทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

หนักหัว…ฮืออ ข้าขยับคอไม่ได้

ได้แต่คิดเท่านั้นแหละ เมื่อเฟิ่งเยี่ยมองใบหน้าของท่านแม่ทั้งสองที่มีความสุขกับการจับนางแต่งตัวเป็นตุ๊กตาตัวโปรดได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับโชคชะตาเพียงเท่านั้น

“อืมมม ลุกขึ้นสิเสี่ยวเยี่ย”คล้ายมารดาเฟิงจื่อหยาของนางยังไม่จบ เทพธิดาน้อยลุกขึ้นแล้วหันมองมารดาทั้งสอง

“ใส่กำไลป้องกันมนตราอันตรายหน่อยแล้วกัน”ท่านแม่เหมยฮวาว่าแล้วก็หยิบกำไลหยกสีม่วงสวมใส่ข้อมือซ้ายของนางทันที

“งั้นเจ้าใส่กำไลป้องกันพิษ”ส่วนท่านแม่จื่อหยาก็หยิบหยกสีฟ้าใสกระจ่างราวกับน้ำกสะอาดมาสวมที่ข้อมือขวา พวกนางทั้งสองหันร่างกลับไปหยิบหยกประ

“ขาดอะไรอีกนะ?”ท่านแม่เหมยฮวาพึมพำเบาๆพลางขมวดคิ้ว

“หยกประจำตัวเจ้าค่ะ ลูกสวมแล้ว!”นางตอบกลับแล้วชี้ที่เอวซ้าย ปรากฏหยกกุหลาบจันทราสีม่วงอมแดงและหยกธาราเหมันต์สีฟ้าใสกระจ่าง ผูกกับสายที่คาดเอวสองอันข้างซ้าย

เมื่อเห็นดังนั้นซิงเหมยฮวาเห็นดังนั้นจึงพยักหน้ารับยิ้มแล้วกล่าวถามไป

“จะไปไหนต่อเล่าเฟิ่งเอ๋อร์”เฟิ่งเยี่ยยกยิ้มหวานแล้วเอียงคอตอบ

“ไปแกล้งคนเจ้าค่ะ”เทพธิดาน้อยปีนเก้าอี้แล้วเขย่งตัวหอมแก้มซิงเหมยฮวา แล้วก็เฟิงจื่อหยา จากนั้นก็วิ่งออกไป ซิงเหมยฮวาเอามือจับแก้มแล้วกล่าว

“เด็กน้อย…”ดวงหน้าละมุนแดงระเรื่อ ดวงใจชุ่มชื้นราวกับมีฝนมาพร่างพรม

“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปไหนเลย เฮ้อ”เฟิงจื่อหยาพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจวิ่งโลดออกจากตำหนักเย็นโดยใช้วิชาเบือนลักษณ์เพื่อไม่ให้ใครรู้

แต่ถ้าหาก…เข้าใกล้ฝ่าบาทเพียงซักเสี้ยววิ

พระองค์จะต้องเห็นลักษณะที่แท้จริงของเสี่ยวเยี่ยเยี่ยของนางเป็นแน่

ถึงครานั้น…

ความลับที่ปิดไว้ถึงเจ็ดร้อยปี คงถูกเปิดออก เรื่องราวมากคงถาโถมราวกับพายุเกรี้ยวกราดใส่บุตรสาวของพวกนาง

พวกนางจะทำอย่างไรหนอ

หากมีคนพรากแก้วตาดวงใจของนางไป

ท้องฟ้าด้านนอกยังเป็นสีน้ำเงิน…พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้น ท่านแม่จะปลุกข้าอะไรนักหนา เทพธิดาน้อยรำพึงในใจพลางโคลงหัวไปมา เมื่อรับรู้น้ำหนักของเครื่องประดับบนศีรษะ

เฟิ่งเยี่ยเดินตามทางขรุขระไม่นานนักก็จะเจอทางเรียบสะอาดสะอ้านผิดจากเขตตำหนักเย็นที่ทางเป็นเป็นถนนลูกรังดูห่างไกลความเจริญ เทพธิดาน้อยตัวน้อยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขัดเคือง

“เชอะๆ แม้แต่ทางเข้าตำหนักยังบ่งบอกสถานะกันได้อีกหรือ”นางบ่นอุบอิบแต่ผู้เดียว ใบหน้างดงามเกินวัยของนางหันซ้ายขวาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า ผ่านซุ้มโค้งที่แบ่งเขตพื้นที่และเส้นทาง หงเทียนเฟิ่งเยี่ยเดินเลาะตามริมทางด้วยความเอื่อยเฉื่อย เทพธิดาน้อยรับตาสูดอากาศหายใจด้วยความผ่อนคลาย

ตำหนักเย็นเป็นสถานที่คุมขังฝ่ายในที่กระทำผิดและต้องโทษ บัดนี้มีผู้อาศัยในนามเพียง 2 คน แต่ความจริงก็มีตัวนางเองรวมไปอีกหนึ่งเท่ากับสามคน

ว่ากันว่าเป็นที่ที่ลำบาก

จะว่าไปก็ไม่ลำบากเท่าไหร่นัก ถ้าไม่นับว่าต้องเดินออกมาจากเขตนั้นเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม อยากกินก็ได้กิน อยากเรียนมารดาก็คอยสอนให้ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับบนศีรษะ กำไล หยก ปิ่น แม้แต่ลาโง่ก็ยังต้องรู้ว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นของนางมีค่าเพียงไหน แต่มารดาทั้งสองนั้นสวมใส่ชุดอย่างเรียบง่ายไม่อลังการเท่านางผู้เป็นลูกเลยแม้แต่น้อย

“แต่ก็อากาศดีชะมัด แต่ให้ตายสิยังไม่ได้กินข้าวเลย”นางบ่นออกมาอีกครั้งแล้วเปิดย่ามสะพายสีดำปักลายผีเสื้อท่ามกลางช่อดอกไม้ ในนั้นมีซาลาเปาและหมั่นโถวรวมกันได้สามลูก

ส่วนน้ำแก้กระหายงั้นเหรอ? นั่นอย่างไรเล่า ต้นหยาดวารีพิสุทธ์ ซึ่งทั้งดอกและลำต้นของมันอุ้มน้ำได้และผลิตน้ำที่มีรสหวานชื่นใจ เฟิ่งเยี่ยสาวเท้าไปที่ศาลาพักหลังโปรดอันเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ได้ดีในยามเช้า

แต่ก็ต้องชะงักค้าง

มีบุรุษผมสีทองสว่างผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้นางอยู่ เทพธิดาน้อยลังเลที่จะเดินเข้าไปเมื่อนึกถึงคำมารดาได้

“เฟิ่งเอ๋อร์ ห้ามเจ้าคลายวิชาเบือนและเลือนลักษณ์เด็ดขาดหากออกไปข้างนอก”

“แม้ว่าเจ้าจะใช้มันจนเชี่ยวชาญนั่นไม่ได้หมายว่าจะมีคนดูไม่ออก เข้าใจหรือไม่”

“ห้ามเข้าใกล้บุรุษผมสีทองสว่างเช่นเจ้า”

“ห้ามประมาท!”

‘งั้นถอยกลับแล้วกัน’

เฟิ่งเยี่ยคิดแล้วค่อยๆหันหลังกลับ ไม่ทันได้ก้าวออกไปพลันได้ยินเสียงขลุ่ยคร่ำครวญจนใจสั่น นางหันกลับไปเห็นบุรุษผมสีทองสว่างเป่าขลุ่ยขณะที่กำลังเดินไปเบื้องหน้าเรื่อย ๆ เฟิ่งเยี่ยเบิกตากว้าง

จะบ้าเรอะ…! ตกจากศาลานั่นไป

ตายเลยนะเฮ้ย!

เอาวะ!

“หยุดนะ!!”เทพธิดาน้อยพุ่งตัวแล้วตะโกนออกไป เสียงขลุ่ยคร่ำครวญกรีดใจนั้นหยุดลง บุรุษผู้นั้นหันร่างกลับมาไม่ทันได้ตั้งตัวจึงโดนเจ้าเด็กน้อยแปลกหน้าชนดังปึก เป็นเฟิ่งเยี่ยเองที่ร่วงลงไปกองกับพื้น นางลุกขึ้นแล้วจับข้อมือชายแปลกหน้าแน่น

“จะทำ แฮ่ก…อะไรของท่านน่ะ”ว่าพลางเงยหน้าขึ้นมา เป็นเทพธิดาน้อยอายุคงไม่เกินเจ็ดร้อยปีได้

“เจ้า..เป็นใคร”นางสูดหายใจแล้วถลึงตาใส่ พลางใช้นิ้วน้อยจิ้มเข้าที่หน้าท้องของบุรุษหนุ่ม

“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าท่านเป็นใคร จะมายืนละเมอแล้วกระโดดลงจากศาลาแบบนี้ไม่ได้นะ”นางกล่าวเสร็จก็เอามือออกแล้วกอดอก บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามคมคายหรี่ตาลงเมื่อเห็นใบหน้าของนางซ้อนทับกับอย่างแนบเนียน

“วิชาเบือนลักษณ์งั้นหรือ”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ก่อนจะยกยิ้มเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง เด็กน้อยเบิกตากว้างเมื่อเห็นลักษณะของบุรุษผู้นี้เต็มตา

หากเจอบุรุษผมสีทองเช่นเจ้า ดวงตาสีเงินประกายรุ้งทรงอำนาจไม่ต่างจากเจ้า

จงหลีกหนีให้ไกล ห้ามให้เขาเห็นตัวเจ้าเด็ดขาด

จำคำแม่ไว้นะเฟิ่งเอ๋อร์

“อ๊ะ”นางอุทานด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ร่างที่สูงไม่ถึงเอวของชายหนุ่มค่อยๆถอยหลังมาทีละนิดทีละนิด ใบหน้าจืดชืดในคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่งดงามอ่อนหวาน มองแล้วสะดุดตา กลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งกำจาย เส้นเกศาสีดำสนิทในคราแรก เปลี่ยนเป็นสีทองสุกปลั่งถูกเปียมวยไว้กลางหัว ประดับด้วยปิ่นปักผมจำนวนมาก

ที่สะดุดตากว่านั้นคือดวงตาสีเงินประกายรุ้งระยิบระยับอันเป็นลักษณะเฉพาะรัชทายาทของราชวงศ์หงเทียน ร่างน้อยสวมอาภรณ์สีฟ้าอมม่วงปักเป็นลายเมฆา สะพายย่ามสีดำปักลายผีเสื้อท่ามกลางช่อดอกไม้

“ผู้น้อยจำได้ว่าจะต้องไปซักผ้าก่อน”เสียงใสกล่าว ดวงตาสีเงินประกายรุ้งกลมโตสบกับดวงตาของเขาคล้ายประจบก่อนจะแย้มยิ้มหวาน

“เช่นนั้นแล้ว ผู้น้อยขอตัว”สิ้นคำหันหลังวิ่งหนี ทว่าบุรุษผู้งดงามนั้นกลับไวกว่านานนัก เขารวบร่างน้อย ๆไว้ในอ้อมอก ก่อนจะเดินฉับๆออกนอกศาลาทันที

“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้าสิ ปัดโธ่ งื้ออ ปล่อยย”เฟิ่งเยี่ยกรีดร้องดีดดิ้นอยู่ในอ้อมกอด แต่ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจ

“ฝ่าบาท…”

“กลับตำหนัก เฉินกงกงเจ้าไปร่วมการประชุมแทนข้าด้วยวันนี้”

“พะย่ะค่ะ”เฉินกงกงตอบรับคำแล้วค้อมหัว ก่อนจะลอบเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเด็ก

“ปล่อยยย ปล่อย! ผู้น้อยจะกลับไปหามารดา!”ร่างในอาภรณ์สีฟ้าอมม่วง กับเส้นเกศาสีทองสุกปลั่งที่สะบัดไปมายามนางสั่นศีรษะ เฟิ่งเยี่ยกรีดเสียงในลำคอดิ้นจะออกจากร่างเพรียวบาง แต่กลับแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ฮืออ ไม่น่าเป็นคนดีเลยข้า…

ไม่นานนักเทพธิดาน้อยถูกยัดเข้ามาในเกี้ยว หมายจะกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง กลับถูกลงอาคมป้องกันแน่นหนา สุดท้ายก็มานั่งจับเข่ามองคนตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ

เหตุไฉนวันนี้ นางอยากทำอะไรก็โดนบังคับอยู่รำไรนะ

โว้ยยย จะจ้องหน้าผู้น้อยอีกนานไหม

แม้ในใจจะบ้าคลั่งราวคลื่นซัดแต่ที่แสดงออกจากทางสีหน้านั้นกลับเรียบนิ่ง เฟิ่งเยี่ยถูกยัดเข้ามาในเกี้ยวแล้วเงียบมาตลอดทาง นางหมายจะหนีออกจากเกี้ยวเมื่อถึงที่ หากโจรลักพาตัวผมทองน่าชังผู้นี้กลับรู้ทัน เขารวบร่างเล็ก ๆ ของนางไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก็แบกพาดบ่ามายังที่แห่งหนึ่ง

ศาลาแก้วกลางบึงสีฟ้าใสสะอาด ภายในบึงมีดอกบัวสีขาวและชมพูเบ่งบานกระจัดกระจายทั่วบึง รอบนอกเป็นดั่งอุทยานดอกไม้ มวลผีเสื้อนานาพันธุ์บินหยอกล้อกันไปมา นางมองภาพเบื้องหน้าที่งดงามประหนึ่งภาพวาดจนลืมดิ้นหนี

เมื่อชายหนุ่มอาภรณ์สูงศักดิ์พานางมาวางไว้บนเก้าอี้กลางบึงศาลาแก้ว เขาสะบัดมือหนึ่งครา ทางเดินจากพื้นดินมายังศาลาก็หายไป กลายเป็นว่าเธออยู่กับเขาสองคนกลางบึงบัว

ความเงียบเข้าครอบงำทุกสิ่งแต่เทพธิดาน้อยไม่ได้พูดอะไร เฟิ่งเยี่ยเชิดหน้าขึ้นเมื่อเห็นแววตาสั่นระริกของโจรลักพาตัว คล้ายขบขันกับกิริยาของนาง

ท่าทางดูมียศ เหมือนจะเป็นหนึ่งในองค์ชายซักพระองค์ น่าจะเป็นคนโปรดพอสมควรถึงใช้เกี้ยวในรั้วพระราชวังได้ เฟิ่งเยี่ยหรี่ตาลงเมื่อเห็นรอยยิ้มนุ่มนวลละมุนตาของชายเบื้องหน้า เทพธิดาน้อยเลิกคิ้วก่อนจะเอียงคอส่งยิ้มหวานมอบให้เป็นการตอบแทนเช่นกัน

มาเถอะ! ปลอมมา ปลอมกลับ

ไม่-โกง!!!

นามของเขาคือ หงเทียนหมิงอวี้ จักรพรรดิเทพแห่งหงเทียน บัดนี้กำลังมอบรอยยิ้มเอ็นดูให้แก่เด็กน้อยเบื้องหน้า ส่วนนางเองก็มอบรอยยิ้มของนางให้เขาเช่นกัน

แต่ทำไม? คล้ายกับว่านางกำลังกวนประสาทกันอยู่นะ

ใบหน้างดงามเหนือเด็กวัยเดียวกัน และเส้นผมและสีตาล้วนเป็นลักษณะรัชทายาทของราชวงศ์หงเทียน เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้ถึงมีได้ อีกทั้งยังเป็นสตรีอีกต่างหาก เพราะเหตุนี้เขาถึงให้เฉินกงกงเป็นผู้เข้าประชุมแทน เขาใช้ความเงียบเข้าเพื่อกดดันให้นางพูดออกมา เนื่องจากตัวเขาหาได้ชอบเด็กผู้หญิงไม่

โครกกก

เทพธิดาตัวน้อยเบิกตากว้าง ท่าทางเลิ่กลั่กปนเสียหน้า บ้าจริง ไอ้ท้องเวรนี่จะมาร้องอะไรตอนนี้ นางกลืนน้ำลายลงคอแล้วเงยหน้ามองเขาครู่หนึ่ง แล้วทำเมินไม่สนใจ

เหอะ…โครกกก

อ่า นางยังไม่ได้กินข้าวเลย เอาเถอะจะมองก็มองไปอย่ามาแย่งข้ากินก็แล้วกัน ลักพาตัวไม่พอยังไม่หาข้าวให้กินอีก นางเปิดถุงย่ามที่เอาติดตัวมาแล้วหยิบหมั่นโถวมากินต่อหน้าเขาหนึ่งลูก หึ มองข้ากินไปเถอะ ไม่แบ่งให้หรอก ว่าแล้วก็อ้าปากงับหมั่นโถวสีน้ำตาลอ่อนไปคำใหญ่มิคาดว่า

“แค่กๆๆ”

หมั่นโถวติดคอ!!! น้ำ น้ำ ข้าต้องการน้ำ ฮือออ

หงเทียนหมิงอวี้เห็นท่าทางเอน็จอนาจของเด็กน้อยแล้วส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ชายหนุ่มรินน้ำชาชื่นวสันต์ในกาลงจอกใบเล็ก เขาหยิบขึ้นมาเป่าไล่ลมร้อนก่อนจะเชยคางเจ้าตัวเล็กแล้วป้อนน้ำให้

อึก ระ รอดตายแล้ว

นางทุบอกตัวเองปั่ก ๆ บุรุษหน้าตายรินชาให้ข้าอีกครา ข้าคว้าแล้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ข้ามองหมั่นโถวในมือและมองใบหน้าเรียบนิ่งของเขาก่อนจะสูดลมหายใจ วางหมั่นโถวไว้บนโต๊ะ

“ท่านพาตัวผู้น้อยมาที่นี่ทำไม?”ไม่พูดซักทีชาตินี้นางคงไม่ได้กลับบ้าน ขืนกลับช้า ท่านแม่จื่อหยาคงจะเพิ่มการฝึกประหนึ่งสงครามจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ส่วนท่านแม่เหมยฮวาคงจะให้คัดวิถีสตรีหงเทียนดีเด่นแหงมๆ

“บิดาของเจ้าเป็นใคร?”ไม่ตอบแต่ถามกลับซะงั้น

“ไม่รู้เจ้าค่ะ”นางตอบกลับอย่างประจบประแจงอยากกลับบ้านแล้ว

“แม่เจ้าคือใคร?”

“แม่แท้ๆ หรือแม่เลี้ยงล่ะเจ้าคะ”

“ทั้งสอง”เขาปรายสายตาดุใส่ข้า

“แต่ข้ามีแม่สามคนนี่”ข้าประท้วงกลับ

“ใครบ้าง?”ข้าพ่นลงหายใจ เงยหน้าสบตาแล้วกอดอกมองเขา

“มารดาแท้ๆของข้านามว่าหลี่ฉางอัน มารดาเลี้ยงของข้ามีสองคนนามว่า ซิงเหมยฮวาและเฟิงจื่อหยา”ข้าเว้นวรรคเพื่อหายใจเล็กน้อย “…พอใจรึยังเจ้าคะ”ว่าแล้วก็เลิกคิ้วใส่ ทว่าใบหน้าที่เปื้อนยิ้มแบบนิ่ง ๆ ของเขาหายไป

“หลี่-ฉาง-อัน?”คล้ายทวนชื่อ ข้าพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเอ่ยปากเล่าตามสไตล์คนพูดมาก ถึงท่านแม่บอกว่าไม่ให้ข้าพูดมากก็เถอะ ทำอย่างไรได้ บุรุษผู้นี้เห็นร่างจริงของข้าความจริงก็เพิ่มไปร้อยละ 50

“ปิ่นหยกธารา และหยกประจำตัวของเจ้า”

“ปิ่นหยกธารางั้นหรือ?”ข้ายกแขนไปสัมผัสของที่ว่าแล้วเอามือลง “ท่านแม่บังคับให้ใส่ ส่วนหยกประจำตัวนี่เป็นของท่านแม่ นางทั้งสองบอกว่ามันจะคอยคุ้มกันภัยอันตรายรวมทั้งกำไลนี่ด้วย”ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งสนิทเดาใจไม่ออก

“อันที่จริงแล้ว ผู้น้อยเกิดในสถานที่ที่เรียกว่า ตำหนักเย็น ผู้น้อยไม่รู้หรอกว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน ที่สามารถทำให้ท่านแม่หลี่ของข้าถึงตรอมใจตายหลังจากคลอดข้าได้ไม่กี่เดือน แต่ท่านเหมยฮวาและท่านแม่จื่อหยาต่างก็เลี้ยงดูข้ามาด้วยความรักและเอาใจใส่”

อืมมมม ข้าเคยมีข้อสงสัยนานแล้ว ถามมารดาไปกี่ครั้งไม่เคยได้คำตอบ แม้จะคิดว่าใช่แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยันมากกว่า

“แซ่หงเทียนเป็นแซ่ของใครหรือท่าน”หงเทียนหมิงอวี้เลิกคิ้วสูง

“เจ้า?”

“นาม เฟิ่งเยี่ย แซ่ หงเทียน เป็นหงเทียนเฟิ่งเยี่ย ข้าอยากใช้สกุลของมารดานักเพราะมันสั้นดีแต่ท่านแม่ทั้งสองกลับห้ามเสียงแข็งว่าไม่ได้ ท่านบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าทำไม?”ข้าเงยหน้ามองเขาตาแป๋ว โดยหารู้ไม่ว่าดวงตาสีเงินประกายรุ้งของนางกำลังเรืองรองวาววาบ เส้นเกศาสีทองและปิ่นระย้าของนางปลิวตามแรงลมที่พัดมาเรื่อย ๆ หงเทียนหมิงอวี้มุ่นคิ้วลงน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า

“ย่อมเป็นราชวงศ์อาณาจักรนี้”

“ฮะ?”

“แซ่ของเชื้อพระวงศ์ที่นี่คือ หงเทียน”

“งั้น…พ่อของผู้น้อยเป็นจักรพรรดิเทพงั้นหรือ!?”นางร้องลั่นด้วยความตกใจ

คุณพระช่วย! โชคชะตาอย่าเล่นตลกไปมากกว่านี้เลย

“ข้า-ไม่-รู้”หลี่ฉางอันตั้งครรภ์ตอนไหนข้ายังไม่รู้เลย จักรพรรดิเทพรำพึงในใจ เจ้าตัวน้อยเบื้องหน้าทำหน้าบึ้งแล้วกล่าว

“ผู้น้อยอยากกลับแล้ว”พลางสบสายตาแป๋วแหววเมื่อเขาปรายสายตามองนางด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่นานนักเขาก็ลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือจับมือของข้าพาเดินออกไป เทพธิดาตัวน้อยลอบย่นจมูกใส่เขาเล็กน้อย เหอะๆ บุรุษก้อนน้ำแข็ง ถ้าข้าเป็นลูกเจ้าข้าคงประสาทแดกแหงมๆ มีปากไม่ยอมพูด ถนัดใช้สายตาเป็นอย่างเดียวหรือไร

ใครจะไปอ่านสายตาเจ้าออกฮะ!

แล้วคิดว่าข้าไม่เมื่อยบ้างเรอะ! ที่ต้องยกแขนเกาะมือของเจ้าน่ะ!

เอ๋!

“เดี๋ยว…เดี๋ยวๆๆๆ”นางอุทานลั่นเมื่ออยู่ดีเขาก็จะเดินบนสายตา จะบ้าเรอะ! นางว่ายน้ำไม่เป็น! นางกระตุกมือเขารัวเงยหน้ามองแล้วส่ายหัวดิกๆ

เขาถอนหายใจออกเบา ๆ แล้วลดตัวลงอุ้มข้าขึ้นมา ข้าตวัดแขนโอบคอของเขาเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยว ใบหน้าของข้าใกล้กับใบหน้างดงามของเขาที่เรียบนิ่งจนข้าแปลกใจ จนอดใจไม่ไหวใช้นิ้วจิ้มเข้าที่แก้มตอบนั่นเบาๆ เขาเหลือบสายตามองนางแล้วกล่าว

“ต้องการอะไร”

“ทำไมท่านถึงไม่แสดงสีหน้าบ้างล่ะ”

“ไม่จำเป็น”

“แต่ผู้อื่นเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อนี่”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงถาม”

“ผู้น้อยอยากรู้”เขาหรี่ตาใส่คล้ายรำคาญ ข้าอ้าปากเอ่ยประท้วง

“ก็ท่านเงียบเกินไปนี่ ไม่ต้องมาว่าข้านะ ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดว่าข้าทำตัวน่ารำคาญ”ข้าพองแก้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขามองใบหน้าของข้าอีกครั้ง

“หากรำคาญข้านัก ก็พาข้ากลับที่เดิมสิ แล้วทีนี้ท่านจะไม่เห็นข้าอีก”ข้าเอ่ยเจรจาต่อรอง เขาหยุดเดินชะงักกึกเมื่อข้าพูดจบประโยค แหม…เล่นส่งสายตาพิฆาตมางี้ใครจะกล้าพูดต่อ ข้าแสร้งมองทางซ้ายขวาแล้วค่อย ๆ ซบใบหน้าลงกับแผงอกเพื่อพักสายตาซักครู่

ซักครู่…

จริง ๆ นะ

นางหลับไปแล้ว นางหลับขณะที่เขากำลังอุ้มนางอยู่ เสียงเจื้อยแจ้วแปลกหูเงียบสนิท เมื่อเพียงเสียงหายใจของนางที่สม่ำเสมอเท่านั้น

หงเทียนเฟิ่งเยี่ย

“ฝะ…”ขันทีเฝ้าหลังตำหนักเอ่ยจะต้อนรับพลันเสียงหาย ขันทีผู้นั้นอ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความตกใจ

พวกไม่รู้หน้าที่… เห็นอยู่แท้ ๆ ว่าเขาอุ้มเด็กที่กำลังนอนมาด้วย ยังจะแหกปากให้เด็กตื่นอีก พูดไม่ได้ซักวันหนึ่งแล้วกันจะได้หูตาไวขึ้นเสียบ้าง

ลูบหลังเล็กเบาๆ แล้วเดินผ่านหน้าอย่างไม่สนใจ

เดี๋ยวเจ้าตัวน้อยจะตื่นมาแล้วโวยวายเอาเสียได้ ดูท่าแล้วนางพูดมากไม่ใช่น้อย

ประตูหลังตำหนักเปิดออกด้วยมนตราแห่งลม ร่างเพรียวสมส่วนก้าวไปที่เตียงนอนแล้ววางเจ้าตัวน้อยในอกลงบนเตียงอย่างเบามือ

เขาลูบใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ แล้วบีบแก้มนิ่มของนางอย่างเบามือ ดวงตาของนางปิดสนิททำให้เห็นแพขนตาราวกับพัด จมูกของนางโด่งเชิดแดงตรงปลายเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ มือของเขาเพียงหนึ่งมือยังใหญ่กว่าหน้าของนางเสียอีก

ลูก? หากนางเป็นลูกของหลี่ฉางอันและมีลักษณะตามรัชทายาท เห็นทีคงต้องทดสอบด้วยโลหิตของเขาด้วยอ่างสุคนธ์เมฆา แต่ว่า… เหตุใดถึงเป็นสตรีได้นะ เขาปัดผมที่ปรกหน้านางแล้วมองด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัว

ราชวงศ์หงเทียนไม่เคยมีเชื้อพระวงศ์หญิงเลยตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา เจ้าตัวน้อยนี่นับว่าเป็นคนแรก ใบหน้าของนางคล้ายเขามาก ยิ่งยามที่นางสบตา เหมือนมองตนเองในวัยเด็ก

แต่แล้วอย่างไรเล่านางก็เพียงแค่คนแรกเท่านั้น ยิ่งนางมีแม่เป็นหลี่ฉางอันที่ไม่มีอำนาจใดๆ คงไม่แคล้วถูกพวกเสนาบดีหรือทูตต่างอาณจักร ทูลขอเป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นแน่

“ฮื่อออ”เฟิ่งเยี่ยครางเสียงอ่อน แล้วเอาใบหน้าน้อย ๆ ถูไถกลับฝ่ามืออุ่น หงเทียนหมิงอวี้เลิกคิ้ว แปลกนัก เหตุใดใจข้าถึงสั่นระรัวเช่นนี้?

‘ทูลฝ่าบาท ผู้น้อยราชครูหลวนไท่ ขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ’

‘เข้ามา’ หงเทียนหมิงอวี้ตอบรับเสียงเรียกร้องขอทางจิตสื่อสาร ชายหนุ่มปลดเชือกรัดผ้าม่านออก เพื่อบดบังร่างของเฟิ่งเยี่ยไว้ เขาเดินผ่านจากห้องบรรทม ห้องทรงงานที่อยู่ในตำหนักแทน ปรากฏร่างในอาภณ์สีขาวสะอาดดูนวลตากำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทรงงาน ใบหน้าหล่อเหลาค้อมต่ำมองพื้น

“ลุกขึ้นเสียเถิด”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะย่ะค่ะ”

“เมื่อวานเหล่าองค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง”

“ทูลฝ่าบาท เหล่าองค์ชายทั้ง 8 ล้วน เอาใจใส่ในการเรียนพะย่ะค่ะ องค์รัชทายาททั้งสามนั้นนับว่าเป็นอัจฉริยะ”

“อัจฉริยะ?”เขาทวนคำเลิกคิ้ว ราชครูตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าพระบาท ทั้งสองพระองค์นั้นแม้จะยังไม่ถึงเวลากางปีกได้ แต่ก็ดึงความสามารถของนัยน์เทวามาใช้ได้บางส่วนแล้วพะย่ะค่ะ”

“งั้นหรือ”เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยถามประการหนึ่งว่า

“เจ้าคิดว่าราชวงศ์หงเทียนจะมีเชื้อพระวงศ์สตรีหรือไม่”ราชครูหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แล้วตอบ

“ทูลฝ่าบาทตั้งแต่ผู้น้อยได้เกิดมาในแผ่นดินนี้ก็เป็นเวลาหมื่นปีแล้ว ราชวงศ์หงเทียนล้วนมีแต่บุรุษ หากให้กระหม่อมเรียนตามความจริงนั้น นับว่าเป็นราชวงศ์ที่แข็งแกร่ง แต่ทว่าก็กระด้างนัก แม้จะมีภาพลักษณ์ที่ขาวสะอาดก็ไม่ได้นุ่มนวล”หลวนไท่ชะงักประโยค

“…แต่ทว่าอะไรที่ไม่เคยมี ก็ย่อมมีได้เสมอพะย่ะค่ะ บนโลกนี้ไม่เที่ยงแท้ แต่หากนางสนมของพระองค์ให้กำเนิดพระธิดามาซักพระองค์กระหม่อมเชื่อว่าพระองค์ย่อมเปลี่ยนไปแน่นอนพะย่ะค่ะ”

“ทำไม?”

“เก้าพันปีที่กระหม่อมรับใช้พระองค์ พระองค์คิดว่ากระหม่อมนิสัยเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่พะย่ะค่ะ”หงเทียนหมิงอวี้เลิกคิ้ว ถามข้างั้นรึ? ราชครูเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มตอบ

“ออกไปได้แล้ว”จักรพรรดิเทพสะบัดมือไล่

“ขอบพระทัยฝ่าพระบาท”ราชครูหลวนไท่ลุกขึ้นถวายพระพรแล้วถอยจากไป หงเทียนหมิงอวี้เอนหลังพิงพนักพิง

“เก้าพันปีที่กระหม่อมรับใช้พระองค์ พระองค์คิดว่ากระหม่อมนิสัยเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่พะย่ะค่ะ”

ย่อมเปลี่ยน เปลี่ยนไปมากทีเดียว

แกร๊กๆๆๆ

จักรพรรดิเทพเลิกคิ้วสูง ดูท่าเด็กน้อยเจ้าปัญหาจะตื่นเสียแล้ว จักรพรรดิเทพลุกขึ้นแล้วก้าวไปทางต้นเสียง เป็นภาพที่ร่างในอาภรณ์สีฟ้าอมม่วงกำลังกำลังลากเก้าอี้เพื่อปีนออกทางหน้าต่าง เขาหรี่ตาลง

“บ้าจริง! นี่ยามใดแล้ว ข้าอยากไปแช่สระบัวเต็มที!”เสียงหวานใสบ่นพึมพำ

แช่สระบัว?

“เฟิ่ง-เยี่ย”

“งุ้ย!”นางอุทานในลำคอ แล้วค่อยหันร่างมา ดวงตาสีเงินประกายรุ้งฉายแววตื่นตระหนก แล้วหัวเราะแฮะ

“ว่าไงเจ้าคะพี่ชาย”สรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้เขาต้องแอบลอบขันในใจ พี่ชายรึ?

ไม่แน่เจ้าอาจจะเปลี่ยนจากพี่เรียกข้าเป็นพ่อแทนก็ได้

“ไปทำอะไรตรงนั้น”

“อ๋อ! ข้าเห็นว่ามันมีฝุ่นเกาะ ก็เลยหวังดีจะเช็ดให้ แหม! พี่ชายน่าจะเปลี่ยนคนทำความสะอาดใหม่นะเจ้าคะ ดูซิ ฝุ่นเขรอะเป็นแถบเลย”แนบชายแขนเสื้อปาดลงกำแพงแล้วชูให้เขาดู พี่ชายของเฟิ่งเยี่ยส่ายหัวแล้วก้าวไปหา เจ้าตัวน้อยใช้ดวงตาสีเดียวกันสบตาเขาแป๋วแหวว ราวกับหลบเลี่ยงผิด

ตาใสเลยนะเจ้าเด็กน้อย เขาปัดชายแขนเสื้อของนางแล้วอุ้มขึ้นมาแนบอก

“ข้าโตแล้ว ข้าเดินได้”นางบ่นอุบอิบ

“กี่ขวบกันเจ้าน่ะ”

“700 แล้ว”

“นับว่ายังเด็กนัก ให้ข้าอุ้มหน่อยเถิด”

“เฮอะ!”เจ้าตัวเล็กแค่นเสียงแล้วสะบัดหน้าหนี อ่า ทำไมเขาอยากยิ้มนัก

“ข้าหิว”นางเอ่ยประท้วง ทำสายตาตำหนิ

“ไปสระหยกสัตตบงกชก่อน”วิธีพิสูจน์ว่าเจ้าตัวน้อยนี้เป็นลูกของเขามีหนึ่งวิธีสามขั้นตอน

ขั้นตอนแรกคือพานางไปสระหยกสัตตบงกช

ขั้นตอนที่สองคือการใช้อ่างสุคนธ์เมฆาทดสอบโลหิต

ขั้นตอนที่สามคือการพาเข้าพิธีสืบโลหิตที่ป่าเทพบรรพาลที่เชื้อสายราชวงศ์ทุกองค์จะต้องเข้าพิธีตั้งแต่กำเนิด

“ที่ไหนอีกกก”เจ้าตัวน้อยร้องเสียงหลง

และถ้าใช่เจ้าก้อนม่วงก้อนนี้ เป็นเชื้อพระวงศ์ของหงเทียนเป็นแน่

เบื้องหน้าเป็นสระน้ำกว้างกว่าสระเมื่อครู่ประมาณสามเท่านั้น น้ำในสระเป็นสีฟ้าอมเขียว มีสัตตบงกชมากมายออกดอกชูช่อบานสะพรั่งคล้ายให้ประจักษ์ถึงความงาม รวมถึงส่งกลิ่มหอมอ่อนๆฟุ้งกำจายทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีผีเสื้อมากมายหลากสายพันธุ์บินหยอกล้อกันไปมา ข้างทางเดินและพื้นดินเป็นดอก…..อะไรสักอย่างนี่แหละ นางไม่รู้จัก

“โหวว…”

“ทำไม”

“สวยจังเลยเจ้าค่ะ อีกทั้งยังไม่มีทหารและนางกำนัลเดินผ่านเลย”นางตอบโดยไม่หันมามองเขาเลย ดวงตากลมโตของนางระยิบระยับด้วยความดีใจ เขาพยักหน้าสำทับ แน่สิ เพราะที่นี่เป็นสถานที่หวงห้าม ผู้ที่จะเข้าได้ ล้วนต้องได้รับการอนุญาตกับเขาทั้งนั้น

“เจ้าไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ”เขากล่าวถาม

“รู้สึก? ก็รู้สึกดี ปลอดภัย อีกทั้งที่นี่ยังอบอุ่นมากๆเลยเจ้าค่ะ”นางตอบเสียงใสพร้อมรับตาพริ้มเมื่อรับรู้ได้ถึงละอองชีวัน

“เดินเข้าไปเร็วๆ สิเจ้าคะ”

แน่ะ! มีการเร่ง

สระหยกสัตตบงกชเป็นสถานที่สำคัญของราชวงศ์หงเทียน ที่ ๆ ยามใดมีพระโอรสประสูติจากเทียนฮองเฮาหรือนางสนมจะถูกนำมาไว้ในกลางศาลาเพื่อให้รับความบริสุทธิ์ของสัตตบงกช อีกทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันว่าหากเข้าไปในสระหยกสัตตบงกชนั่นหมายถึงว่ามีเชื้อสายของหงเทียน เนื่องจากสระหยกนี้ครึ่งหนึ่งถูกสร้างด้วยโลหิตของหงเทียนหยางเยี่ยปฐมราชวงศ์ อีกทั้งยังมีละอองชีวันอันเป็นสิ่งเพิ่มพลังและรักษาอาการบาดเจ็บอีกต่างหาก

หงเทียนหมิงอวี้มองปราการโปร่งแสงเบื้องหน้าก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป เจ้าตัวน้อยในอ้อมอกดูตื่นตื่นใจคล้ายอยากเข้าไปเต็มที

“โอ๊ะ!”เมื่อเข้าไปได้สามก้าว เจ้าตัวน้อยในอ้อมอกสะดุ้ง พยายามดิ้นหนีจากปราการแกร่ง จักรพรรดิเทพถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ในอกปวดหนึบอย่างแปลกประหลาดเพราะความผิดหวัง

ไม่ควรหวังตั้งแต่แรก…

เขาค่อย ๆ ปล่อยร่างเจ้าตัวเล็กลงเมื่อทันทีเท้าถึงพื้น คล้ายปลาได้ลงน้ำ เจ้าตัวน้อยวิ่งถลาตัวไปกลางศาลา ร้องเรียกเสียงหวาน

แล้วที่ร้องเมื่อกี้?

“พี่ชายๆๆ ท่านดูนี่สิเจ้าคะ ดอกบัวนี่สวยจังเลย”หงเทียนหมิงอวี้นิ่งงันคล้ายอยู่ในห้วงฝัน ใบหน้างดงามอ่อนหวานของ เฟิ่งเยี่ยงอง้ำเมื่อเขานิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมไปหา

คือนางอยากจะลงไปวิ่ง?

ตึก ตึก ตึก

“มานี่สิเจ้าคะ ดูซิ นั่นดอกบัวพันธ์อะไรทำไมหอมขนาดนี้”เสียงการวิ่งของนางเข้ามาใกล้ ร่างเล็กวิ่งมาแล้วเงยหน้าแย้มยิ้มให้ เทพธิดาน้อยดึงมือหนาแล้วลากไปยังจุดกลางศาลา

“เจ้า…ไม่รู้สึกอะไรงั้นเหรอ”

“รู้สึกสิเจ้าคะ!”นางตอบกลับแล้วพาร่างไปเกาะที่ผนังแก้วยืดคอดูสัตตบงกชสวรรค์ดอกใหญ่ “รู้สึกว่าที่นี่เย็นม้ากกกมาก หอมอีกต่างหาก ผู้น้อยชอบนัก!”นางอ้าแขนรับลมหอบใหญ่ที่มาแรง เสียจนร่างของนางหงายเงิบลงพื้น

ปั่ก

“โอ๊ย!!!”เจ้าตัวน้อยร้องความเจ็บ แทนที่เขาจะก้าวไปประคองกลับ…

“พี่ชายเหตุใดถึงยิ้มเช่นนั้น!”

ใช่ยิ้ม

“ท่านยิ้มแบบมีความสุข ท่านดีใจที่ข้าหงายเงิบเรอะ!”นางกรีดเสียงพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ดวงตากลมโตสีเงินประกายรุ้งวาววับด้วยความขัดเคือง

“ยัง! ยังจะยิ้มอีก ท่านเยาะเย้ยข้างั้นเหรอ”กัดฟันแน่น โหย โคตรเสียหน้า เสียหน้าโคตร ลมเวรเอ้ย แกจะพัดมาทำด๋อยไรตอนนี้ฮะ

เปล่า… ข้าหาได้เยาะเย้ยเจ้าไม่

หงเทียนเฟิ่งเยี่ย บุตรสาวแห่งข้า หงเทียนหมิงอวี้


แก้บางช่วงทีี่ไรท์คิดว่าไม่โอเคออกค่ะ

1/11/2566

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

Exit mobile version