การเมือง
“ส.ส.ร้อยเอ็ด”เพื่อไทย โยนกลับ “น้ำประปาสีสนิม” อยู่ในความดูแลของคณะก้าวหน้า
วันศุกร์ ที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 17.54 น.
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565 สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้เข้ารัฐสภาเพื่ออภิปรายนำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ “ปลดล็อกท้องถิ่น” โดยในช่วงหนึ่ง นายธนาธร ได้มีการชูขวดน้ำประปาสีขุ่นข้นคล้ายสีสนิม จาก อบต.พนมไพร อ.ค้อใหญ่ จ.ร้อยเอ็ด
โดยทวิตเตอร์ของ “คณะก้าวหน้า” ได้มีการโพสต์คำพูดของนายธนาธรเรื่องนี้พร้อมข้อความว่า “นี่คือน้ำที่เก็บมาจากพื้นที่ อบต.ค้อใหญ่ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด น้ำขุ่นข้นเป็นสีชานม ตราบใดที่ท้องถิ่นยังถูกตัดงบ ตัดอำนาจ ประชาชนไทยนับล้านๆคนก็ยังคงต้องทนกับน้ำประปาแบบนี้ คุณภาพชีวิตที่แทบไม่ต่างจาก 50 ปีที่แล้ว #ปลดล็อกท้องถิ่น”
จากนั้น น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เข้าไปคอมเมนต์ตอบกลับว่า “น้ำประปาที่พูดถึงอยู่ในความดูแลของ อบต.ค้อใหญ่ ของคณะก้าวหน้าค่ะ แต่ใดๆ เขียนชี้แจงแทนไปแล้วว่า เขางบฯ ไม่พอ กฎระเบียบเป็นอุปสรรค ถึงเรียกร้องให้กระจายอำนาจ (อย่างแท้จริง) จะให้ ส.ส.ช่วยแปรญัตติงบฯ ก็ทำไม่ได้ค่ะ รธน.60 ห้ามไม่ให้ทำ”
อย่างไรก็ตามน.ส.จิราพร ได้แจงรายละเอียดผ่านเฟซบุ๊ก “จิราพร สินธุไพร – Jiraporn Sindhuprai” ความว่า น้ำประปาขุ่นเหลือง ปัญหาเรื้อรังที่หลายหมู่บ้านทั่วประเทศต้องเผชิญ แก้ได้ด้วยการกระจายอำนาจ (ที่แท้จริง) สู่ท้องถิ่น
อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มีทั้งหมด 13 ตำบล 160 หมู่บ้าน ปัจจุบันประมาณ 90% ของพื้นที่มีน้ำประปาสำหรับอุปโภค-บริโภคได้ปกติ แต่อีกราว 10% ที่เหลือต้องประสบปัญหาน้ำประปาไม่สะอาด ขุ่นเหลือง
ในอดีต ตำบลแสนสุข และตำบลพนมไพร อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เคยประสบปัญหาน้ำประปาขุ่นเหลืองหนัก แต่ด้วยความโชคดีที่ 2 ตำบลนี้ติด แม่น้ำชี ในสมัยคุณพ่อ อดีต ส.ส.นิสิต สินธุไพร จึงได้ขอแปรญัตติงบประมาณ จำนวนราว 10 ล้านบาท เพื่อนำงบฯ ไปแก้ปัญหาน้ำประปาหมู่บ้าน สูบน้ำจากแม่น้ำชีส่งตรงมาผลิตน้ำประปาที่สะอาดใช้ในพื้นที่ (รัฐธรรมนูญ 40 ให้ ส.ส.แปรญัตติงบประมาณได้ แต่ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 60 ห้ามทำ)
ตำบลค้อใหญ่ แหล่งน้ำธรรมชาติไม่มี น้ำใต้ดินเหลืองอ๋อย งบฯ ไม่พอแถมระเบียบเป็นอุปสรรค
อย่างไรก็ดี ตำบลอื่นๆ ใน อ.พนมไพร การแก้ปัญหาไม่ได้ง่ายเช่นตำบลแสนสุข และตำบลพนมไพร อย่างกรณีน้ำประปาขุ่นเหลือง ใน #ตำบลค้อใหญ่ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งอยู่ในความดูแลของ องค์การบริหารส่วนตำบลค้อใหญ่ ปัญหาหลัก คือ ไม่มีแหล่งน้ำผิวดินตามธรรมชาติ ต้องใช้แหล่งน้ำใต้ดินทั้งตำบล ซึ่งมีปริมาณน้อยมากและมีสีเหลืองเป็นสนิม ไม่ว่าจะเจาะตาน้ำตรงไหนก็จะเจอน้ำลักษณะนี้เกือบทั้งตำบล ซึ่งเคยประสานกับท่านกำนันและผู้นำชุมชนตกผลึกได้ว่า การแก้ปัญหาในระยะยาว #ต้องวางท่อสูบน้ำจากแม่น้ำชีมาใช้ แต่ด้วยจากแม่น้ำชีมายัง ต.ค้อใหญ่ มีระยะทางราว 7 กิโลเมตร ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก (ปีหนึ่งๆ อบต.ค้อใหญ่ ได้รับงบประมาณจากส่วนกลางราว 24 ล้านบาท แต่เป็นงบสำหรับพัฒนาจริงๆ เฉลี่ยแค่ราว 1.5 ล้านบาทเท่านั้น) ประกอบกับต้องวางท่อพาดผ่าน 2 เขต อบต. คือ ระหว่าง อบต.คำไฮ และ อบต.ค้อใหญ่ ซึ่งกฎระเบียบไม่รองรับการจัดทำงบประมาณในลักษณะนี้ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ ทางพื้นที่ได้ตั้งงบฯ สำหรับขุดเจาะหาแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไว้ 4.8 แสนบาท แต่ไม่การันตีว่าน้ำจะมีปริมาณมากเพียงใด
นอกจาก ตำบลค้อใหญ่ ยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบปัญหาคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น #ตำบลโพธิ์ชัย และ #ตำบลชานุวรรณ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ที่น้ำได้เคยนำไปหารือต่อสภาฯ และได้ประสาน #กรมบาดาล ให้เข้าไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา แต่ติดเรื่องงบประมาณและต้องรอส่วนกลางจึงล่าช้ามาก
ประปาขุ่นเหลืองปัญหาเรื้อรังเกิดทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้ในพื้นที่ของ ส.ส. พรรครัฐบาล
ปัญหาน้ำประปาขุ่นเหลืองไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับหมู่บ้านในจังหวัดร้อยเอ็ด เท่านั้น หากแต่หลายหมู่บ้านทั่วประเทศ รวมถึงในพื้นที่ของ ส.ส. พรรครัฐบาล ที่ถือทั้งอำนาจและงบประมาณ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน และแก้ไม่ตกสักที ดังนั้น ปัญหาน้ำประปาขุ่นเหลืองจึงไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงพื้นที่ แต่รากเหง้าของมันคือปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องแก้ด้วยการกระจายอำนาจ (ที่แท้จริง) สู่ท้องถิ่น ทลายกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนา
ดังนั้น พรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส. เขต 100% และเกาะติดพื้นที่มาตลอด เราทราบถึงปัญหาในท้องถิ่นเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ปัญหาประปาเหลืองขุ่น หากแต่ปัญหาถนนหนทาง แหล่งน้ำ การรับมือโควิด น้ำท่วม ฯลฯ ล้วนเป็นปัญหาที่หลายครั้งเกินกำลังท้องถิ่นจะทำ ด้วยข้อจำกัดด้านอำนาจ งบฯ กฎระเบียบ ดังที่กล่าวไป ในเมื่อพรรคเพื่อไทย กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เคยเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ โดยตั้ง สสร. ที่มาจากประชาชน เพื่อร่างกฎกติกาใหม่ให้อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ถูกตีตกหลายครั้ง วันนี้มี #ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยภาคประชาชน เน้นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีงบประมาณและเครื่องมือที่เพียงพอในการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นหลักการที่พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยมาตลอด เราจึงพร้อมที่จะลงมติเห็นชอบเพื่อนำไปสู่การปลดล็อกให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ หวังว่า ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลที่ในพื้นที่ประสบปัญหาไม่ต่างกัน จะช่วยกันดันร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ผ่านวาระ1 ด้วยเช่นกันค่ะ
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่