วันนี้ (27 มิ.ย.65) รศ.ดร.ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ นายกสภาวิศวกร สมัยที่ 7 ร่วมกับ น.ส.บุษกร แสนสุข ประธานคณะทำงานประสานงานด้านภัยพิบัติจากอัคคีภัย สภาวิศวกร พร้อมด้วย ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ ย่านสำเพ็ง
รศ.ดร.ปิยะบุตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้องแบ่งตัวอาคารเป็นสองส่วน อาคารส่วนแรกที่ตรงกับหม้อแปลงไฟฟ้า หรืออาคารที่ 2 และ 3 ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือที่ชั้น 2 และชั้น 3 ซึ่งถือว่าไม่มีความปลอดภัยของตัวอาคาร เนื่องจากลักษณะอาคารเป็นอาคารที่มีการต่อเติมชั้นเหล็กขึ้น เมื่อเจอความร้อนเป็นเวลานาน ทำให้โครงสร้างอาคารที่เป็นส่วนรับน้ำหนักแอ่นตัว มีโอกาสถล่ม จึงมีความเห็นว่าควรต้องทำการรื้อถอนอาคารที่ 2 และที่ 3 ออกเพื่อความปลอดภัย
ส่วนอาคารหลังริม ซึ่งเป็นอาคารหลังที่ 1 และอาคารหลังที่ 4 จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีโครงสร้างบางส่วนเสียหาย แต่ยังสามารถซ่อมแซมเสริมแนวคานรับน้ำหนักของตัวอาคารเพื่อใช้งานอาคารต่อได้ แต่ต้องมีการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรเข้ามาตรวจสอบโครงสร้าง เพื่อตรวจสอบด้านความมั่นคงของตัวอาคารอีกครั้ง
ด้าน พ.ต.อ.วสันต์ ธวัชชัยวิรุตษ์ ผกก.สน.จักรวรรดิ ระบุว่า ขณะนี้กระบวนการสอบสวนยังดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าสาเหตุเกิดจากสิ่งใด จนกว่าจะรอผลการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเสร็จสิ้น อีกทั้งยังต้องรอผลการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐาน นำมาประกอบสำนวนคดี ซึ่งต้องใช้ ระยะเวลานานพอสมควร ส่วนเรื่องผู้เสียหายที่ประสงค์จะเดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับหน่วยงานใด ก็สามารถเดินทาง เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนได้ตามสิทธิ์
ขณะที่ ดร.ธเนศ นายก วสท. กล่าวว่า จากการเข้าตรวจสอบอาคารที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ห้องที่ 1 และห้องที่ 2 ซึ่งเป็นร้านขายของเล่นและอุปกรณ์เด็ก และร้านขายอุปกรณ์พลาสติก พบว่าโครงเหล็กเกิดการงอ ผนังบิดออก สภาพของโครงสร้างชำรุดมาก และพื้นทรุดตัว
โดยทั้ง 2 อาคารนี้ มีโอกาสที่จะต้องทุบสูงมาก ส่วนอาคารที่สามที่อยู่ตรงกับหม้อแปลงไฟฟ้านั้น โครงเหล็กแอ่นตัวออกมา จึงมองว่าโอกาสที่จะกลับมาใช้งานได้คือต้องรื้อโครงเหล็ก ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ต้องรื้อแล้วทำใหม่เพื่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบโครงสร้างทั้งหมด แต่ละอาคารแยกจากกัน จึงไม่ส่งผลต่ออาคารที่อยู่ติดกัน