‘ทุนญี่ปุ่น’ บุกอสังหาไทย ผุดบ้าน คอนโด ออฟฟิศ โรงแรมกว่า 2.4 หมื่นล้าน
วันที่ 17 สิงหาคม นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า การร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทย และต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายในปี2566 ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการไทยนานหลายปีแล้ว
Advertisment
นายสุรเชษฐกล่าวว่า โดยช่วง7-8 เดือนที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่าโครงการ 24,685 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กับโนมูระ เรียลเอสเตท มีการร่วมทุนกันอีก 2 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมประมาณ 3,600 ล้านบาท ยังมีธุรกิจโรงแรมที่ออริจิ้นร่วมทุนกับทางโตคิว แลนด์ เอเชีย โดยการตั้งบริษัท วัน ออริจิ้น ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด ในการบริหารโรงแรมไอบิส 3 แห่งที่ภูเก็ต อ่าวนาง และหัวหิน
นายสุรเชษฐกล่าวว่า บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) มีการร่วมทุนกับทางซูมิโตโม ฟอเรสทรี อีก 1 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท ,บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ร่วมทุนกับบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด วงเงิน 3,900 ล้านบาท พัฒนาโครงการบ้านจัดสรร 2 โครงการบนถนนศรีนครินทร์ -กรุงเทพกรีฑา,บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ร่วมทุนกับทางโตเกียว ทาเทโมโนะ ในโครงการเรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท
นายสุรเชษฐกล่าวว่า ยังมีกลุ่มเอ็นริชประกาศความร่วมมือกับทางไซบุ แก๊ส ในการพัฒนาโครงการอาร์ค สุขุมวิท 39 ร่วมกันโดยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 835 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ที่ร่วมทุนกัน ,บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมทุนกับโซเทสสึ เรียลเอสเตท พัฒนาโครงการวีวัลดีบางนา มูลค่าประมาณ 1,300 ล้านบาท ต่อจากการร่วมทุนกัน 2 โครงการก่อนหน้านี้ คือ เดอะ สเตจ มายด์สเคป รัชดา-ห้วยขวางและเอสเปช เมกาบางนา, บริษัท ดับบลิวเอชเอ เคดับบลิว อัลไลแอนซ์ จำกัดในเครือดับบลิวเอซเอ
ร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ในการพัฒนาอาคารสำนักงานในทำเลสุขุมวิท 25 มูลค่า 1,000 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ กล่าว่า บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับทาคาระเลเบ็นในการพัฒนาโครงการแอทโมซโฟล์ว มีนบุรี มูลค่า 1,350 ล้านบาท เป็นโครงการที่ 3 และยังร่วมทุนกับโตเกียวทาเทโมโนะ ในการพัฒนาโครงการเคฟ โคโค่ บางแสน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท,บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งร่วมกันพัฒนาโครงการมายาวนานร่วม 10 ปี 24 โครงการ มูลค่า 116,300 ล้านบาท ในปีนี้มี 1 โครงการจะเปิดในช่วงครึ่งหลัง มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท, บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ประกาศเมื่อต้นปี2566 จะร่วมทุนกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป อีก 22 โครงการ มูลค่าที่ลงทุนร่วมกันประมาณ 21,210 ล้านบาท
“การร่วมทุนที่เกิดขึ้นในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนเป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการไทย และต่างชาติที่เคยมีการร่วมทุนกันมาก่อนหน้านี้ หรือเป็นผู้ประกอบการต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยมาก่อนหน้านี้ หรือมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยมาบ้างแล้ว และผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ที่มีการร่วมทุนกับทางต่างชาติจะเป็นผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็มีบางบริษัทที่ไม่ได้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่มีการเจรจา และร่วมทุนกับผู้ประกอบการต่างชาติเช่นกัน” นายสุรเชษฐกล่าว
นายสุรเชษฐกล่าวว่า การร่วมทุนของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติเป็น 1 ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมานาน ผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อมหลายรายพยายามหาพันธมิตรต่างชาติเพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการในประเทศไทย เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังพอมีช่องว่างให้หารายได้ต่อเนื่อง และไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ในเรื่องของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังหาช่องทางในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม เป็นต้น
นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชีย นับว่าประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เพราะเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ เอื้อต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างเอพี ไทยแลนด์ ซึ่งตลอด 10 ปีที่ร่วมทุนได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร และกฎหมายไทย เช่น การทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)
นายยูจิ โอกาโมโต กรรมการผู้จัดการบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าการที่บริษัทสนใจตลาดอสังหาฯไทย เพราะมีเสน่ห์และเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯที่มีดีมานด์เพราะคนเข้ามาอยู่อาศัยจำนวนมาก ขณะเดียวกันเมืองไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ซึ่งต่อไปการพัฒนาโครงการคงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียวต้องรองรับตลาดตรงนี้ด้วย