บางแสน ชลบุรี

ทะลุมิติเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคเซียนบรรพกาล

ทะลุมิติเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคเซียนบรรพกาล | นิยาย Dek-D | LINE TODAY

ทะลุมิติเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคเซียนบรรพกาล

ทะลุมิติเข้ามาในยุคเซียนยังไม่พอ เหม่ยอิงหญิงสาวศตวรรษที่ 21 ยังต้องเลี้ยงดูลูกสามคนและท้ารบกับครอบครัวสามีที่้เข้ามาหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน มิหนำซ้ำสามียังโง่เขลาถูกคนอื่นพูดจากรอกหู แต่ในความโชคร้าย

ข้อมูลเบื้องต้น

ทะลุมิติเข้ามาในยุคเซียนยังไม่พอ เหม่ยอิงหญิงสาวศตวรรษที่ 21 ยังต้องเลี้ยงดูลูกสามคนและท้ารบกับครอบครัวสามีที่้เข้ามาหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน มิหนำซ้ำสามียังโง่เขลาถูกคนอื่นพูดจากรอกหูไม่ฟังนางแม้สักคำ แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ที่ดินผืนั้นซึ่งเป็นมรดกของเหม่ยอิงเพียงหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นดินแดนเซียนบรรพกาล แต่กลับมีขนาดเล็กมากเพียงหนึ่งหมู่ แล้วนางจะทำอย่างไรถึงจะขยายขนาดที่ดินอันแสนวิเศษนี้ได้ทั้งที่ครอบครัวสามีก็มักจะเข้ามาหาเรื่อง โปรดติดตามลุ้นเรื่องราวของเหม่ยอิงและเจ้าสามแสบ

ทะลุมิติมาก็ถูกหาเรื่องทันที

เคยอ่านเจอแต่นิยายออนไลน์เกี่ยวกับคนที่ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในนิยาย บ้างก็เป็นนางร้าย บ้างเป็นลูกลับๆ ของปีศาจ แต่ไหงเธอซึ่งยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนถึงต้องมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคเซียนบรรพกาล

เหม่ยอิงนั่นคือชื่อของนางในยุคนี้ ผู้หญิงคนนี้มีร่างกายค่อนข้างบอบบาง ผิวขาวดังศพ นัยน์ตาคู่นั้นมัวหมองเพราะทำงานหนัก ดูเป็นสาวขี้โรคแรงน้อยแต่เพราะเจ้าตัวเล็กสามคนเหม่ยอิงจึงต้องสู้

และดูเหมือนว่าจะโหมงานหนักจนสิ้นใจตาย ซึ่งคนที่ฟื้นขึ้นมาก็เป็นหญิงสาวในศตวรรษที่ 21

“เฮ้อ…จะทำยังไงดีเนี่ยเบื่อชะมัดโทรศัพท์ก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ไม่มีแล้ว แล้วฉันจะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย” เหม่ยอิงนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง มันเป็นบ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ ท้ายหมู่บ้านของครอบครัวสกุลหลี่ หลี่คือสกุลของสามีที่เจ้าของร่างแต่งงานด้วย เป็นชายร่างสูงใหญ่ทำงานหนักอยู่ในโรงหล่อเหล็กของหมู่บ้าน

สำหรับชายคนนั้นเหม่ยอิงคนปัจจุบันไม่ค่อยมีความประทับใจนัก หลังอยู่ด้วยกันหนึ่งวันนางรู้สึกว่าหัวเขาค่อนข้างช้า เป็นลาโง่โดยสมบูรณ์ จะดีก็ตรงที่รักเหม่ยอิงด้วยใจอันบริสุทธิ์

“ฉันไม่สามารถไปไหนได้ คงต้องอยู่ที่นี่ไปจนตายแหงๆ” เหม่ยอิงอยากจะร้องไห้เหลือเกิน สำหรับนางที่อ่านนวนิยายออนไลน์มามาก เข้าใจได้ไม่ยากว่ายุคที่ตนอยู่อาศัยนั้นน่ากลัวมากแค่ไหน

นี่คือยุคเซียนบรรพกาล แค่ชื่อที่ได้ยินก็มีมนต์ขลังแล้ว แต่นางไม่มีความเกี่ยวข้องกับเซียน เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ

“เหม่ยอิง ตื่นหรือยังข้าหิวแล้วเนี่ย รีบๆ ออกมาข้างนอกหาอาหารให้ข้ากินได้แล้ว”

เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายทำให้หญิงสาวหน้ามุ่ยไม่รับแขก คนที่มาตะโกนไม่อายชาวบ้านเป็นพี่สาวของหลี่หานสามีของนาง มีชื่อว่าหลี่อี้ วันนี้ก็ดูเหมือนจะขี้เกียจทำกับข้าวถึงได้ถ่อมาถึงท้ายหมู่บ้านเพื่อขอข้าวเหม่ยอิงกิน

เหม่ยอิงคนใหม่ลุกขึ้นยืนจากโต๊ะตัวเตี้ยด้วยความยากลำบาก ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปแทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ดูสิเนี่ยแค่เดินไปเปิดประตูก็แทบหายใจลำบาก

ชะโงกหน้าออกไปดูเล็กน้อยเห็นหญิงวัย 30 ยืนเท้าสะเอวในชุดจีนโบราณเก่าๆ สีซีดที่ผ่านการซักและปะชุนมานับครั้งไม่ถ้วน

“มองอะไรอยู่ได้ เห็นว่าข้ามาแล้วก็รีบๆ เอาข้าวมาให้ข้ากินสิ” หลี่อี้คนนี้ไร้การศึกษาโดยแท้ มาขออาหารบ้านอื่นแทนที่จะมีมารยาทแต่กลับใช้คำพูดไม่สุภาพ กระโชกโฮกฮากดังมารร้าย

“หลี่อี้คนนี้เปรียบดังพี่สาวใจร้ายที่เหม่ยอิงต้องพบเจอ การที่เธอต้องเสียชีวิตเพราะทำงานหนักเป็นไปได้ไหมว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลี่อี้ เอาอาหารให้หล่อนกินทุกวันและตัวเองต้องกินของไร้คุณภาพ จนร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงทำงาน สุดท้ายต้องลาลับจากโลกไป?” เหม่ยอิงคิดเงียบๆ กับตัวเองแต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูดูเหมือนจะไม่พอใจ นางเดินเข้ามาแล้วใช้มือจิกหัวเหม่ยอิง ตะคอกเสียงใส่ดังแว๊ดๆ

“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไงน้องสะใภ้ ข้าบอกว่าข้าหิวแล้วเอาข้าวมาให้ข้า ข้าเป็นคนมีมารยาทดังนั้นจึงไม่อยากใช้ความรุนแรง หวังว่าน้องสะใภ้จะเข้าใจนะ”

เหม่ยอิงกัดฟันกรอด นัยน์ตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยโทสะ แทนที่จะนำข้าวปลามาให้หลี่อี้จอมขี้เกียจหล่อนกลับผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยแรงอันน้อยนิด

หลี่อี้ไม่ทันตั้งตัวจึงล้มก้นจ้ำเบ้า เพราะฝนที่เพิ่งตกเมื่อคืนทำให้ดินหน้าบ้านเป็นน้ำโคลน นางที่ล้มลงไปจึงเปื้อนโคลนดูไม่ได้ หน้าตาบูดบึ้งอย่างกับยักษ์กับมาร มองเหม่ยอิงอย่างไม่เชื่อสายตา

“เจ้ากล้าผลักข้าหรือเหม่ยอิง เดี๋ยวนี้น้องสะใภ้ไม่เคารพพี่สาวคนนี้แล้วหรือ!” หลี่อี้ลุกขึ้นยืนใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม มีเพียงความโกรธแค้นเท่านั้น

“เจ้าทำข้าเจ็บดังนั้นก็สมควรแล้วนี่” เหม่ยอิงโต้ตอบเสียงแหบแห้งไร้ทางสู้ หากอีกฝ่ายโจมตีเข้ามายามนี้เกรงว่าเหม่ยอิงคนใหม่คงได้สิ้นชีพอีกครา

“ชีวิตของหญิงสาวบ้านนอกท่ามกลางป่าเขาถูกเอาเปรียบโดยครอบครัวของสามี เหอะๆ นี่มันนิยายดราม่าชัดๆ ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” เหม่ยอิงกรีดร้องในใจ

“นางนี่นี่ เป็นแค่ผู้หญิงชั้นต่ำไร้สกุลสูงศักดิ์ ดีแค่ไหนแล้วที่น้องชายข้าแต่งงานกับเจ้า หากไม่มีเขาเจ้าคงเป็นได้เพียงหญิงโคมเขียว!” หลี่อี้คนนี้ร้ายกาจยิ่ง พอไม่ได้ดั่งใจอยากก็กล่าวร้ายกันโต้งๆ

“หยุดว่าแม่พวกข้าได้แล้วป้าหลี่ หากท่านกระทำมากไปกว่านี้ล่ะก็ พวกข้าจะปาโคลนใส่หน้าท่านจนเละแน่ๆ” เสียงเล็กๆ เรียกให้เหม่ยอิงหันไปมอง นั่นคือลูกสาวเจ้าของร่างตัวจริง หลี่เหนียง หลี่กุ้ย หลี่จุน

ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กทั้งสามคนกลับมาบ้านในสภาพเสื้อผ้ามอมแมม ดูก็รู้ว่าเพิ่งเล่นกับเพื่อนมา โรงเรียนไม่ไปเพราะใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ

“ว่ายังไงนะไอ้เด็กเปรต! ลูกของอีนังแพศยานี่มันร้ายเหมือนกับแม่มันไม่มีผิด วันนี้ในฐานะป้าข้าคงต้องสั่งสอนให้รู้จักหลาบจำสักหน่อย!” หลี่อี้เป็นผู้หญิงแต่ใจเหี้ยมเลวทรามโดยแท้ นางมีร่างกายที่สูงใหญ่แต่กลับเริ่มใช้กำลังกับเด็กตัวเล็กๆ อายุไม่ถึงสิบขวบ

สัญชาตญาณคนเป็นแม่บอกให้เหม่ยอิงเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเพราะร่างกายนี้แต่เดิมเป็นของผู้อื่นหรือเปล่านางซึ่งไร้เรี่ยวแรงมาก่อนจึงได้วิ่งไปประจันหน้ากับหลี่อี้ โดยที่มือหยิบฉวยไม้กวาดมาจากประตูหน้าบ้าน

“หลี่อี้อย่าทำอะไรลูกข้า ไม่งั้นไม้กวาดนี่จะไม่ใช่เพียงไว้กวาดพื้นแต่จะไปกวาดบนหัวของเจ้า!”

หลี่อี้ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจต้องถอยกลับไปหลายก้าว สำหรับนางเหม่ยอิงรังแกได้ง่ายเพราะฉะนั้นจึงมักจะมาเอาเปรียบบ่อยๆ แต่วันนี้ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ไม่รู้ว่านางแพศยานี่ไปกินดีหมีมาแต่ไหนถึงกล้าขัดขืน

หลังชั่งใจเล็กน้อยหลี่อี้กล่าวว่า “หึหึ นับว่าวันนี้เจ้าโชคดีจะปล่อยเอาไว้ก่อนแล้วกัน แต่หากคราวหน้าเจ้ากล้าชี้ไม้กวาดมาที่ข้าอีกล่ะก็ ตอนนั้นแม้แต่สามีก็คงช่วยเจ้าไม่ได้!” กล่าวจบก็เดินจากไป

เหม่ยอิงทรุดตัวลงบนพื้นเปียกหอบหายใจอย่างหนักจนลูกสามคนต้องเข้ามาช่วยพยุง พากลับเข้าไปในบ้าน

สำหรับเหม่ยอิงหญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 หล่อนไม่เคยแต่งงานมาก่อน อย่าว่าแต่มีแฟนเลยวันว่างๆ จะไปเที่ยวยังไม่มีเพราะทุกวันทำแต่งาน พอสามเกอเข้ามาช่วยจึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยิ้มตอบ

……..

เหม่ยอิงกลับเข้ามาในบ้าน ลูกสามคนยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยความเป็นห่วง คนที่โตที่สุดชื่อหลี่จุนกล่าวว่า “ท่านแม่ป้าหลี่ทำเกินไป นางมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายท่าน ดูสิเนี่ยหากเรากลับมาไม่ทันท่านคงถูกทำร้ายเหมือนวันก่อนๆ”

“เหมือนวันก่อนๆ…จากคำพูดของหลี่จุนดูเหมือนว่าเหม่ยอิงคนนี้ที่มีชื่อเหมือนฉันจะเป็นพวกไม่สู้คน มิน่าถึงได้อยู่สภาพนี้แล้วเสียชีวิต น่าเศร้าจริงๆ” เหม่ยอิงถอนหายใจ

“ท่านแม่วันนี้ข้าจะต้องบอกท่านพ่อเกี่ยวกับสิ่งที่ป้าหลี่ทำ เพราะฉะนั้นท่านอย่าได้ห้ามเลย!” หลี่กุ้ยกล่าวเสริม

“ใช่แล้วท่านแม่ ป้าหลี่รังแกกันเกินไปแล้ว!” หลี่เหนียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ร้องไห้ตาแดงก่ำ ดูเหมือนนางจะทนไม่ได้ที่เห็นเหม่ยอิงถูกกระทำ

จู่ๆ เหม่ยอิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็มีอารมณ์ขึ้นมา หัวใจดวงนี้ที่ดูเย็นชืดราวกับมีปฏิกิริยากับเด็กๆ ตรงหน้า อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปซับน้ำตาให้ลูกคนสุดท้อง

“แม่จะไม่รั้งพวกเจ้า ป้าหลี่ทำกับแม่เกินไปจริงๆ ทุกวันแม่ทำได้เพียงเก็บความโกรธนั้นไว้แต่ครั้งนี้แม่ทำไม่ได้ โดยเฉพาะกับลูกๆ ที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ แม่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ้าเด็ดขาด” เหม่ยอิงกล่าวด้วยเสียงอ่อนแอราวกับคนไร้กำลัง แต่สำหรับเด็กสกุลหลี่สามคนที่อยู่เบื้องหน้าคล้ายกับพลังอันยิ่งใหญ่

นานแล้วที่แม่เอาแต่อ่อนโยนและยอมคนอื่น ดูเหมือนว่าวันนี้แม่จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

หลี่จุน หลี่กุ้ย หลี่เหนียง ทั้งสามคนค่อนข้างดีใจที่แม่เปลี่ยนไปในทิศทางนี้ บางทีเด็กๆ อาจไม่อยากเห็นแม่ต้องทนทุกข์เกินไปกับครอบครัวหลี่ แต่เหม่ยอิงคนก่อนกลับยอมจำนนเพราะความกลัวที่อยู่ในใจ แต่วันนี้ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

สามีผู้โง่เขลา

หญิงสาวในศตวรรษที่ 21 ต้องใช้ชีวิตในยุคโบราณ สำหรับเหม่ยอิงมันเป็นเรื่องยากแต่เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ทั้งสามที่กระตือรือร้นนางก็มีแรง…มีแรงที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

“ว่าแต่พวกข้าหิวแล้ว ท่านแม่มีอะไรให้กินบ้างไหมขอรับ” หลี่จุนถาม

“นั่นสิ ข้าเองก็เริ่มหิวแล้วด้วยเจ้าค่ะ” หลี่เหนียงจับท้องของตัวเองที่กำลังส่งเสียง

“ข้าด้วย หิวจนไส้จะขาดแล้ว หากมีช้างตายอยู่ตรงหน้าข้าคงสามารถกินมันได้ทั้งตัว” หลี่กุ้ยดูเหมือนจะกินได้เยอะกว่าพี่น้อง ดูได้จากร่างกายอ้วนใหญ่ของเขาซึ่งเหมือนว่าแย่งอาหารจากทั้งคู่มาไว้คนเดียว

เหม่ยอิงทำอะไรไม่ถูก เมื่อวานที่เพิ่งทะลุมิติเข้ามาในบ้านก็ตกกลางคืนแล้วจึงไม่ต้องทำอาหาร แต่กระนั้นนางก็สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ ในครัวไว้บ้าง

มันเป็นครัวเตาถ่าน จำเป็นต้องก่อไฟด้วยฟืนซึ่งเหม่ยอิงไม่คุ้นเคยเลย เพราะโดยปกติใช้ชีวิตอยู่ในหอพักคนเดียวก็ซื้อแต่อาหารแช่ฟรีซ หิวเมื่อไหร่ก็เวฟเอา

“เอ่อ…ตอนนี้แม่ไม่สบายคงลุกไปทำข้าวให้ไม่ไหว ในหมู่พวกเจ้าใครบ้างจุดไฟที่เตาเป็น ใครหุงข้าวได้และใครล้างผักเป็น” เหม่ยอิงใช้ข้ออ้างจากการไม่สบายปล่อยให้เด็กๆ เหล่านี้ทำงานแทนตน

จะโทษนางก็ไม่ได้ชีวิตแบบนี้มันแย่จริงๆ นอกจากนั้นร่างกายนี้ไร้เรี่ยวแรงแล้ว ขืนฝืนมากไปกว่านี้คงได้ตายอีกครั้ง

“จริงสิท่านแม่ไม่สบาย ข้าจุดไฟที่เตาเป็นเพราะงั้นข้าจะเป็นคนจุดไฟเอง!” หลี่จุนตบหน้าอกตัวเองด้วยความมั่นใจ สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบเขาค่อนข้างน่ารักและมีความเป็นผู้นำ

สมกับเป็นพี่ใหญ่สกุลหลี่

“ข้าจะหุงข้าวเอง รับรองว่าข้าวต้องออกมาสุกไม่ดิบ เหมือนกับที่ท่านแม่เคยสอนไว้เมื่อก่อน” หลี่เหนียงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก นางไม่ชอบใช้กำลังอย่างพี่ชายดังนั้นงานบ้านจึงตกเป็นของนาง

“งั้น…ข้าก็คงต้องล้างผักสินะ” หลี่กุ้ยทำตัวไม่ถูกเมื่อพี่น้องสองคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน หากเทียบกับทั้งคู่เขาในเมื่อก่อนเป็นคนขี้เกียจกินเล่นอย่างเดียว มาวันนี้แม่ไม่สบายและพ่อออกไปทำงาน ตนก็ควรจะหยุดเล่นแล้วทำอะไรสักอย่าง

เหม่ยอิงปล่อยให้เด็กๆ ทำงานในครัวโดยที่ตนเองเฝ้าดูอยู่ เมื่อก่อนเจ้าของร่างทำทุกอย่างด้วยตัวเองแต่เจ้าตัวเล็กสองคนก็เรียนรู้จากสิ่งนี้ บางครั้งจึงมาช่วยงานในครัวผิดกับหลี่กุ้ยที่ดีแต่กิน

“มันคงง่ายกว่านี้หากมีวิชาอย่างเทพเซียน” เหม่ยอิงพึมพำกับตัวเองด้วยนัยน์ตาเหม่อลอย

โลกที่นางอยู่ไม่ใช่โลกธรรมดาแต่เป็นถึงโลกเซียนบรรพกาล ฟังว่ามีผู้วิเศษขี่กระบี่บินเหนือเวหา ขยับมือยกภูเขาแยกมหาสมุทร นี่เป็นเรื่องราวดุจดังเทพนิยายที่เคยอ่านแต่มันกลับเป็นความจริง

แต่อย่างใดก็ตามหมู่บ้านกวนปิงเล็กๆ แห่งนี้ไร้เทพเซียนที่ว่า ชาวบ้านประกอบอาชีพทำนาทำสวนปลูกผัก ไม่ก็ถลุงเหล็กเพื่อทำอาวุธตามที่ทางการสั่ง

สามีของเหม่ยอิงค่อนข้างมีความสามารถและเขาก็เป็นถึงช่างถลุงเหล็ก มีฝีมือตีดาบแต่หัวกลับทึบไปหน่อย จึงมักจะถูกเอาเปรียบเสมอ

“โลกนี้อันตรายเกินไป การเป็นเทพเซียนดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้บางทีฉันควรอยู่หมู่บ้านนี้ไปจนตาย?” เหม่ยอิงคิดกับตัวเองเงียบๆ ก่อนจะผงะเพราะกลิ่นหอมๆ ที่ออกมาจากในครัว

เพราะมัวแต่คิดเพลินไปหน่อยจึงลืมสังเกตลูกๆ ทั้งสามคน ไฟถูกจุดติดแล้วและฟืนก็เผาไหม้อย่างดี ผู้ที่รับหน้าที่ปรุงข้าวต้มในหม้อเป็นหลี่เหนียง โดยนางกำลังสั่งพี่ชายสองคนให้เทผักที่เพิ่งล้างลงไปในหม้อ

เหม่ยอิงไม่รู้ว่าอาหารที่เด็กๆ ทำกินแล้วจะท้องเสียหรือไม่ แต่นางไม่สามารถเรื่องมากได้ จะให้เดินออกไปซื้อของกินข้างนอกก็ใช่เรื่องเพราะครอบครัวหลี่นี้จนมาก สามีทำงานหนักเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ครอบครัวอยู่อย่างอดอยาก วัตถุดิบที่อยู่ในหม้อตอนนี้นอกจากข้าวแล้วจึงมีผักเพียงสองชนิด

เหม่ยอิงมองข้ามต้มร้อนๆ ในชามที่หลี่เหนียงเอามาให้ กลิ่นของมันค่อนข้างหอมเลยเชียว หรืออาจจะเพราะร่างกายนี้ขาดน้ำและอาหารมานานก็เป็นได้จึงคิดว่ากลิ่นมันหอม ทั้งที่ความจริงหน้าตาข้าวต้มในชามไม่ต่างจากอาหารในเล้าหมู

“ท่านแม่ลองชิมดูสิเจ้าคะ ฝีมือข้าปรุงเองเลยนะไม่รู้ว่าจะอร่อยสู้ท่านได้หรือเปล่า” หลี่เหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อย่าลืมข้าสิ ข้าเองก็ช่วยควบคุมไฟนะ ไม่งั้นอาศัยเจ้าคนเดียวมีหวังหม้อไหม้กันพอดี” หลี่จุนเสริม

“ข้าเองก็ช่วยเหมือนกัน กว่าข้าจะล้างผักได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดูสิเนี่ยมือข้าเปื่อยหมดแล้ว ตอนนี้ข้าทนไม่ไหวขอกินก่อนแล้วกันท่านแม่” หลี่กุ้ยสมกับเป็นตัวตะกละของบ้านจริงๆ โดยไม่รอเหม่ยอิงเขาเริ่มสวาปามเป็นคนแรก

“พวกเจ้าเก่งมาก เอาล่ะข้าจะกินแล้วนะ” แม้ลึกๆ จะไม่อยากกินเพราะหน้าตาของข้าวต้ม แต่ท้องก็บ่นว่าหิวเหลือเกินแถมเด็กน้อยตรงหน้าก็ทำด้วยความตั้งใจ สุดท้ายเหม่ยอิงจากศตวรรษที่ 21 จึงเริ่มตักข้าวต้มอย่างช้าๆ เข้าปาก

หลี่เหนียงเพิกเฉยต่อพี่ชายทั้งสองคนที่กำลังกินอยู่ข้างๆ ตอนนี้นางเพียงอยากรู้คำตอบจากปากแม่

เหม่ยอิงไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้รอนาน หลังจากกินไปหนึ่งคำนางก็กล่าวว่า “อร่อยมาก พวกลูกทำข้าวต้มได้อร่อยจริงๆ สมกับเป็นลูกของแม่”

ตั้งใจชมไปงั้นแหละเพราะความจริงแล้วข้าวต้มที่กินทั้งเหม็นหืนและบางส่วนก็แฉะ ข้าวบางส่วนก็ยังไม่สุก แต่พอเห็นความตั้งใจของเด็กๆ ที่มีต่อตนเหม่ยอิงจึงไม่สามารถทำลายความรู้สึกนั้นได้

หลี่เหนียงเผยรอยยิ้มบางแล้วเริ่มกินข้าวต้มของตัวเอง เพียงกินไปหนึ่งคำนางก็คายทิ้งแล้วมองหน้าแม่ใหม่

“ท่านแม่ไม่เห็นอร่อยเลย ท่านโกหกข้าหรือเปล่าเจ้าคะ”

“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า ข้าวต้มที่พวกเจ้าทั้งสามทำอร่อยจริงๆ ดูนั่นสิพี่ชายเจ้ากำลังกินโดยไม่พูดไม่จา เห็นไหมว่าพวกเขาอร่อยมาก” เหม่ยอิงตกใจที่ลูกสาวคนเล็กกล้าพูดมันออกมาตรงๆ แต่นางก็ฉลาดและหาเหตุผลมาหักล้าง

“ฮึ่ม! พี่หลี่กุ้ยกินไม่เลือกอยู่แล้วเรื่องนี้ข้ารู้ดี ส่วนพี่หลี่จุนคงเหนื่อยเพราะวิ่งไล่จับ แต่เอาเถอะบางทีฝีมือข้าอาจอ่อนด้อยเอง ข้าจำเป็นต้องเก่งกว่านี้!” แทนที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่หลี่เหนียงกลับมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงมันให้ดีขึ้น

“หลี่เหนียงมีคุณสมบัติการเป็นเชฟ เธอมุ่งมั่นและเรียนรู้ได้เร็ว เด็กคนนี้ถึงจะอายุน้อยกว่าพี่ของเธอแต่ในด้านความคิดดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่กุ้ยและหลี่จุนไม่พัฒนา” เหม่ยอิงคิดกับตัวเองเงียบๆ ในขณะกินข้าวต้มที่สภาพดูไม่ได้

กินเสร็จก็ต้องล้างจานและหน้าที่นี้ก็ตกเป็นของหลี่กุ้ย

เนื่องจากเด็กชายกินเยอะที่สุดและไม่ค่อยช่วยอะไรในครัวนัก ดังนั้นการใช้แรงงานจึงตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย

….

ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า

บ้านสกุลหลี่หลังเล็กตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน เพียงเดินไปตามตรอกก็ถึงเถียงนา ฟังว่ามันเป็นสมบัติชิ้นเดียวของเหม่ยอิงที่กำพร้า บางทีเพราะเหตุนี้กระมังบ้านสกุลหลี่จึงยอมให้หลี่หานแต่งงานกับนาง

เหม่ยอิงที่นอนพักผ่อนอยู่ในบ้านได้ยินเสียงคนเดินมาแต่ไกล เนื่องจากบ้านเก่าแล้วการเก็บเสียงไม่ดีดังนั้นจึงมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาได้ไม่ยาก ประตูเก่าๆ ถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก ชายในชุดจีนโบราณผิวหยาบกร้านใบหน้าหนักแน่นเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะปิดประตูลง

แสงจากตะวันด้านนอกส่องให้เห็นโครงหน้าของเขา จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาคู่นั้นเป็นสีดำ ผมเปียยาวถูกรวบไว้บนศีรษะด้วยปิ่นราคาถูก

นี่คือหลี่หานสามีของเหม่ยอิงคนก่อน

“ไม่หล่อเลยสักนิด” เหม่ยอิงบ่นในใจเงียบๆ รูปร่างหน้าตาของฝ่ายชายไม่ต่างจากกรรมกรแบกหาม เป็นพวกใช้แรงานแท้จริง แต่ทำงานในโรงหล่อที่ควรจะได้เงินเยอะทำไมถึงจนนักนะ น่าแปลกจริงๆ

“เหม่ยอิงวันนี้พี่ข้ามาหาเจ้างั้นหรือ” แทนที่จะถามเกี่ยวกับสภาพของภรรยามาถึงหลี่หานก็ถามเรื่องเมื่อกลางวัน

เหม่ยอิงขมวดคิ้ว เป็นไปได้ไหมว่านางนั่นไปฟ้องหลี่หาน

นางยังไม่ทันตอบเด็กๆ ที่เพิ่งไปเล่นช่วงเย็นกลับมาก็กล่าวขึ้นว่า

“ท่านพ่อป้าหลี่ร้ายกาจมาก นางทำร้ายท่านแม่ ข้าเห็นมากับตาเลยนะขอรับ”

“ป้าหลี่เนี่ยนะจะทำร้ายแม่ของเจ้าหลี่จุน ไร้สาระเกินไปแล้ว” หลี่หานไม่ฟังคำพูดของลูกชาย ดูเหมือนเขาจะเชื่อฝั่งพี่สาวมากกว่า

ถูกทำร้ายโดยสามี

เหม่ยอิงเหลือบมองสามีที่ไม่ได้รัก เพียงคำพูดของเขาที่เอ่ยจากปากนางถึงกับแสยะยิ้มมุมปากเบาๆ ชายคนนี้รักภรรยายังไงกันนะ ความรักอันบริสุทธิ์งั้นหรือ แต่สิ่งที่เขาเอ่ยออกมามันไม่ใช่กระนั้นเลย นี่เป็นการเข้าข้างพี่สาวอย่างสุดโต่งโดยไม่สนใจเหม่ยอิงที่นอนซมเหมือนคนป่วยไร้เรี่ยวแรง

“หยุดว่าร้ายป้าหลี่ของเจ้า ไม่งั้นข้าจะโบยเจ้าสิบครั้งหลี่จุน!” หลี่หานกล่าวเสียงเข้ม เพียงเท่านั้นแหละเด็กชายถึงกับหน้าเจื่อน ถอยหลังไปหลายก้าวเพราะความกลัว

“พอเถอะหลี่หาน เจ้าเห็นไหมว่าลูกกลัวหมดแล้ว อีกอย่างลูกอายุยังไม่ถึงสิบขวบเลยนะ เจ้าจะใช้กำลังกับลูกเชียวหรือ?” เหม่ยอิงเงยหน้าถาม น้ำเสียงช่างไร้ไมตรีเยื่อใย ดูห่างเหินเหมือนคนต่างหน้า แต่สำหรับหลี่หานผู้โง่เขลาดูเหมือนจะไม่ตระหนักถึงจุดนี้

“เจ้าเข้าข้างเขาเกินไปแบบนี้ไงลูกๆ ถึงไม่เชื่อฟังข้า ดีล่ะงั้นข้าจะต้องสั่งสอนสักหน่อย ในเมื่อหลี่จุนปากดีก็ต้องรับผิด!” หลี่หานเป็นผู้ชายร่างใหญ่ในยุคโบราณ และเขาเป็นถึงหัวหน้าครอบครัวดังนั้นตนเองจึงต้องมีศักดิ์ศรี ไม่สามารถให้ภรรยาหยามเกียรติหรือดูหมิ่นได้ โดยเฉพาะต่อหน้าลูกทั้งสาม

หลี่หานคว้าแส้ป่านเก่าๆ เส้นหนึ่งมาจากหลังบ้าน ลักษณะท่าทางเขาเวลานี้ดูเหมือนกับผู้ร้ายบ้าเลือด ทำให้เด็กทั้งสามต่างหวาดกลัว รีบหลบไปอยู่หลังเหม่ยอิงทันควัน

“ผู้ชายคนนี้บ้าหรือเปล่า เด็กๆ อายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ำแต่ยังกล้าลงแส้ เขาเป็นพ่อจริงหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าแท้จริงแล้วมันคือสันดานของคนแซ่หลี่?” เหม่ยอิงกัดฟันกรอดก่นด่าในใจสำหรับความไร้ยางอายของคนตรงหน้า

หลี่หานเอื้อมมือมาต้องการคว้าแขนหลี่จุน ลูกชายคนโตซึ่งตอนนี้ตาแดงก่ำ หวาดกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า เหม่ยอิงซึ่งไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถนิ่งดูดายได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วปัดมือของสามีออกไป

“ให้เรื่องมันจบลงเท่านี้เถอะหลี่หาน!” เหม่ยอิงคำรามด้วยเสียงแหบแห้ง หลี่หานซึ่งถูกภรรยาขวางก็ยิ่งโกรธ แทนที่จะถอยไปแล้วยอมจบเรื่องเขากลับง้างมือที่ถือแส้ไว้แล้วฟาดลงบนหน้านางเต็มแรง

เสียง’เพี้ย’ดังขึ้นในบ้านเก่าท้ายหมู่บ้าน เหม่ยอิงซึ่งไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้วไม่สามารถยืนอย่างมั่นคง นางล้มลงกับพื้น หน้าสะบัดไปอีกทางเพราะแรงฟาดจากแส้ หลี่จุน หลี่กุ้ยและหลี่เหนียงถึงกับร้องไห้ เข้าไปดูเหม่ยอิงที่ล้มลงบนพื้น

“ข้า…ข้าขอโทษ” หลี่หานถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องกับการกระทำของตัวเอง ดูจากสภาพของภรรยาตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เขาทิ้งแส้ในมือลงแล้วต้องการเข้าไปปลอบนาง แต่เสียงคำรามก็ถูกส่งออกมาจากปากเปื้อนเลือด

“อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องข้า ออกไป!” เหม่ยอิงมองตาขวางร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาของนางเวลานี้ไม่มีความอ่อนโยนดังภรรยาตัวน้อยที่ทำทุกอย่างเพื่อสามี แต่กลับมองเขาดุจมารร้ายอันน่าสะพรึง

หลี่หานหดมือกลับไม่กล้าเผชิญหน้าเหม่ยอิงเวลานี้ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “พรุ่งนี้หากพี่สาวข้ามาหาอีกล่ะก็ อย่าลืมทำกับข้าวให้นางด้วย” แล้วเขาก็ปลดเชือกป่านที่เอว นำเนื้อสดมาวางไว้บนโต๊ะ “หมูเอ้อร์เหลี่ยงอาหารวันนี้ แต่ดูจากสภาพของเจ้าแล้วคงไม่มีแรงเข้าครัวกระมัง งั้นข้าจะไปนอนข้างนอกคืนนี้ไม่กลับบ้าน หมูเอ้อร์เหลี่ยงนี้อย่าลืมทำให้พี่สาวข้าพรุ่งนี้เชียว”

ชายที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสามีหันหลังจากไป ไม่มีคำปลอบโยนแม้สักคำ มีเพียงคำพูดกล่าวถึงพี่สาวเท่านั้น ดูเหมือนเขากลัวนางอดอยากไม่มีกินถึงได้กำชับเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เหม่ยอิงจับใบหน้าของตัวเองทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา หลี่จุนที่อยู่ข้างๆ สามคนผงะ และแม้แต่เห็นหลี่หานจากไปพวกเขาก็ไม่กล้าหยุด

“ท่านแม่…ท่านไม่เป็นไรนะ” หลี่เหนียงถาม น้ำเสียงเป็นกังวลเล็กน้อย

เหม่ยอิงมองเด็กทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า นี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของสามีสารเลวนั่น นางอยากจะเกลียดและหนีออกไปจากนรกนี้เหลือเกิน แต่เพราะจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างคนเก่าบอกนางว่าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้

“ข้าไม่เป็นไร เข้านอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า” เหม่ยอิงตอบด้วยรอยยิ้ม สำหรับเนื้อหมูเอ้อร์เหลี่ยงนั่นตั้งแต่ต้นนางไม่ชายตามองด้วยซ้ำ

ลูกสามคนไม่รบกวนเมื่อนางนอนอยู่บนฟูกเก่าๆ เหม่ยอิงนอนเอามือกายหน้าผาก มองดูดวงจันทร์ผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ สายลมเย็นเอื่อยๆ พัดโชยเข้ามาในบ้านหลังเล็ก มันช่างเงียบสงบดุจดังคืนอันแสนสุข แต่สำหรับเหม่ยอิงเรื่องราวต่างๆ ดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

“ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป เดินก็แทบไม่มีแรง ฉันจำเป็นต้องทำให้มันกลับมาแข็งแรง” ผินหน้าไปมองหมูเอ้อร์เหลี่ยงที่วางอยู่บนโต๊ะ มุมปากเริ่มยกโค้งขึ้น “หมอนั่นอยากให้ฉันทำหมูเอ้อร์เหลี่ยงให้พี่สาวกิน แต่เสียใจด้วยแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะกินเองเพื่อร่างกายนี้”

แต่รอยยิ้มนี้อยู่ได้ไม่นานนักก็หายไป

เหม่ยอิงรู้ว่าเรื่องนี้อาจทำให้หลี่หานโกรธ แต่ถึงจะไม่ทำแบบนี้สุดท้ายก็ยังถูกเอาเปรียบโดยคนสกุลหลี่อยู่ดี

“เฮ้อ หากเป็นนิยายจีนเรื่องอื่นเวลานี้ตัวเอกถูกทำร้ายจากนั้นก็ตกหน้าผาสูง แต่โชคก็เข้าข้างทำให้เขามีชีวิตอยู่ และภายในถ้ำใต้ผาสูงยังซ่อนวิชาลับไว้ น่าเสียดายที่นั่นคือนิยายออนไลน์ และถ้าฉันถูกจับโยนลงไปใต้หน้าผามีหวังตายก่อนได้วิชาป้องกันตัว” เหม่ยอิงหัวเราะเยาะตัวเอง

นางไม่ใช่ตัวเอกในนิยายแต่นี่คือโลกความจริง

แถมสามีโง่เขลานั่นยังหัวใจเย็นดังหินผา เหม่ยอิงคนก่อนรักมันไปได้ยังไง หรือนางไร้ทางเลือกอื่น

“ฟังว่าเหม่ยอิงคนนี้มีที่ดินหนึ่งหมู่เป็นสมบัติติดตัวเพียงอย่างเดียว พรุ่งนี้คงต้องไปดูสักหน่อย จะได้ไม่ต้องเจอหน้าหลี่อี้นางแพศยานั่น”

หลังจากวางแผนการพรุ่งนี้แล้วเหม่ยอิงก็เข้านอนแต่หัววัน อาจเพราะร่างกายนี้อ่อนเพลียเกินไป พอหลับตาลงนางก็หลับสนิท ตื่นขึ้นมาอีกทีดวงตะวันฉายก็ส่องผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างที่ถูกเปิดออก

เหม่ยอิงเอามือทาบหน้าตัวเอง ลุกขึ้นจากฟูกเก่าๆ อย่างยากลำบาก แต่ไม่ทันไรต้องประหลาดใจเพราะกลิ่นอาหารที่โชยเข้ามาในห้อง พอหันไปมองก็เห็นลูกสามคนกำลังเข้าครัวทำอาหาร

หมูเอ้อร์เหลี่ยงบนโต๊ะที่ถูกวางไว้เมื่อเย็นวานหายไป ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กกำลังปรุงอยู่ในครัว

เหม่ยอิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปดูเด็กๆ ที่กำลังยุ่งกันอยู่ นางไม่ได้รบกวนเพียงยืนอยู่ที่นั่นเฝ้าดูเงียบๆ

“เมื่อก่อนเด็กเหล่านี้ไม่เคยหยิบจับอะไร แต่ตอนนี้กลับเลือกเข้าครัวด้วยตัวเอง แถมยังสามัคคีกันอย่างน่าประหลาด หากเหม่ยอิงคนก่อนมาเห็นแบบนี้คงดีใจทั้งน้ำตา น่าเสียดายที่เธอตายไปแล้ว” เหม่ยอิงส่ายหัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไปหลังบ้านเพื่อล้างหน้าล้างตาที่ยังไม่ส่าง

เนื่องจากเป็นครอบครัวจนๆ บ้านเก่าโทรมๆ ไม่หรูหรา ห้องน้ำห้องท่าเองก็ไม่ดีเลิศ มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกสร้างแยกขึ้นจากบ้านด้วยดินเหนียว เพียงเดินไม่ถึงสิบเก้าก็มาถึงแล้ว

เหม่ยอิงอยู่ที่นี่มาสองวันแต่ยังไม่รู้สึกคุ้นชินสักนิด สุดท้ายนางก็ยังเป็นคนจากศตวรรษที่ 21 เรื่องนี้ต้องใช้เวลาปรับตัว

ใช้เเวลาไม่นานก็ออกมาจากห้องน้ำ เพราะอากาศค่อนข้างเย็นและร่างกายนี้ก็อ่อนแอเหลือเกิน หากอยู่ในที่อับชื้นนานเกินไปเกรงว่าอาจเป็นไข้ล้มหมอนนอนเสื่อ ถึงเวลานั้นครอบครัวหลี่คงเข้ามาหาเรื่อง และสามีราคาถูกนั่นคงไม่ปกป้องนาง

เหม่ยอิงเดินเข้ามาในบ้านก็พบกับชามอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย

หลี่เหนียงเห็นนางมาแล้วก็วิ่งมาจูงมือ

“ท่านแม่มานี่สิเจ้าคะ ข้ากับท่านพี่ทำอาหารให้ท่านเองเลยนะ ข้ามต้มใส่ผักและมีเนื้อหมู เนื้อหมูเนี่ยอร่อยมากเลยข้าลองชิมแล้ว รับรองว่าท่านแม่จะต้องถูกใจและแข็งแรงหลังจากที่กินเนื้อ”

เนื่องจากครอบครัวจนและหลี่หานก็ใส่ใจแต่บ้านสกุลหลี่ เนื้อที่ได้กินแต่ละมื้อจึงสามารถนับด้วยนิ้วมือ ช่างเป็นการใช้ชีวิตแสนสิ้นหวัง ผู้ชายคนนี้ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นพ่อ

เหม่ยอิงนั่งลงบนพื้นแล้วกินข้าวต้มที่มีผักเหม็นหืนและหมูที่ดูเหมือนไม่สุกดี สามพี่น้องล้อมวงโต๊ะตัวเตี้ย ดวงตาเล็กๆ จ้องไปยังคนเป็นแม่โดยรอคำชมจากปาก

เหม่ยอิงเหมือนจะรู้เช่นนั้นหลังจากทานได้หนึ่งคำนางก็กล่าวว่า “อร่อยมาก ฝีมือของพวกเจ้าพัฒนาไปจากเมื่อวานเยอะเลย เอาล่ะอย่ามัวแต่นั่งดูแม่สิพวกเจ้าเองก็กินด้วย”

“ดีใจจังที่ท่านแม่ชอบ งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” หลี่กุ้ยกล่าว จากท่าทางที่เขาแสดงออกมาดูเหมือนว่าจะรอไม่ไหวแล้วที่จะขย้ำอาหารตรงหน้า โดยเฉพาะเนื้อหมูที่อยู่ในชาม มันช่างยั่วยวนกระเพาะเสียเหลือเกิน

เช้านี้สำหรับเหม่ยอิงมันช่างเรียบง่าย อาหารที่ไม่อร่อยแต่ถูกรายล้อมด้วยเด็กสามคน เป็นภาพน่าดูชมอีกอย่าง

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จนางก็เดินออกไปท้ายหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเวลาใดเพราะไม่มีนาฬิกา อีกอย่างการข้ามมิติครั้งนี้มาเพียงวิญญาณดังนั้นตัวของนางที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ด้วยจึงไม่ได้ถูกนำมา

“ที่นี่หรือนาของเหม่ยอิง” ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินอย่างช้าๆ ในที่สุดเหม่ยอิงก็มาถึงที่ดินหนึ่งหมู่ หลังจากกวาดตามองรอบหนึ่งจึงเดินเข้าไป ทว่าหลังจากนั้นเสียงหนึ่งจึงดังขึ้น

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

เรื่องล่าสุด