วันนี้ (2 มี.ค.) ที่สามย่านมิตรทาวน์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้จัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงทิศทางธุรกิจ ชูแนวคิดชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน (Better Together) ผสานพลังรวมกัน 1+1 เท่ากับ อินฟินิตี้ สร้างศักยภาพความเป็นไปได้ใหม่ที่ไม่รู้จบ หลังควบรวมทรู-ดีแทค เสร็จสมบูรณ์ และจะเริ่มนำหุ้นกลับไปซื้อขายในตลากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 3 มี.ค. นี้
นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข คณะกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้ จะเป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของธุรกิจโทรคมนาคมไทย ที่มีการจัดตั้ง เทค คอมปะนี ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ และสร้างบริการใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย ภาคธุรกิจ และผู้ใช้บริการ และเป็นกลไกล ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตก้าวหน้าขึ้นไป ซึ่งความสำเร้จมาจากทุกภาคส่วน
“ได้ทำโครงการนี้เด้วยความเชื่อมั่นว่าจะเกิดผลดีในหลายมิติ เกิดประโยชน์ ต่อระเทศชาติและสังคม และผู้ใช้บริการและผู้ถือหุ้น เกิดแรงผลักดันที่จะปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีมากมหาศาล ไปในระดับโลก และดึงดูดคนเก่ง และทรัพยากรต่างๆ เข้ามาในไทย ด้วยศักยภาพที่มีน่าจะพัฒนาให้เกิดความเข็มแข็ง ทางโครงข่าย ครอบคลุม ความเร็ว แรง ของสัญญาณ สามารถนำมาพัฒนาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ทั้งเรื่อง การเรียน การศึกษา และการแพทย์ทางไกล คนไทยได้ประโยชน์ ส่วนด้านการเงิน ผู้ถือหุ้น ก็จะมีฐานะที่แข็งแกร่งมากขึ้น ในส่วนของพนักงาน ก็จะทำให้มีความแข็งแกร่ง มีการพัฒนาเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า”
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของบริษัทใหม่ คือการมุ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทย และช่วยขับเคลื่อนธุรกิจพาร์ทเนอร์ สู่ดิจิทัล พร้อมช่วยพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทเทคโนโลยี หรือ เทค คอมปานี ระดับเอเชีย โดนเมื่อร่วมกันแล้ว จะทำให้มีลูกค้ามือถือ 55 ล้านคน มูลค่าบริษัท 294,000 ล้านบาท ยังมีการคงแบรนด์ทั้งสองไว้ 3 ปี ยืนยันจะทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีกว่าเดิม ทั้ง คุณภาพสัญญาณ 5จี ที่ตั้งเป้าให้ครอบคลุม 98% ของจำนวนประชากร ในปี 2569 ขณะที่แพ็กเกจราคา ยืนยันจะไม่แพงกว่าเดิม และจะมีมูลค่าเพิ่มจากการเสนอบริการใหม่ให้ลูกค้าได้บริการที่ดีกว่าเก่า
“ลูกค้าสามารถใช้สัญญาณคุณภาพดีขึ้นทันทีจากสัญลักษณ์เครือข่ายโรมมิ่ง บนหน้าจอมือถือ ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพสัญญาณโมบายล์อินเทอร์เน็ต เพื่อใช้งาน 5จี และ 4จี บนคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ และ 700 เมกะเฮิรตซ์ โดยลูกค้าดีแทคสามารถใช้งาน 5จี บนคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ และลูกค้าทรูสามารถใช้งาน 4จี และ 5จี คลื่น 700 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ทั้งนี้จะขยายครบทั้ง 77 จังหวัด ประมาณกลาง มี.ค. นี้”
นายมนัสส์ กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของพนักงาน ยืนยันจะไม่มีการปลอดพนักงาน สำหรับการทำงานจะใช้ สำนักงานเดิมของทรู และดีแทค เดิมทั้งสองแห่ง เพื่อเป็นออฟฟิศใหม่ ในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าทั้งสองบริษัท จะมีการดูแลตามกฎหมาย พีดีพีเอ นอกจากนี้บริษัทใหม่จะร่วมกับพันธมิตรระดมทุนจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.3 พันล้านบาท จัดตั้งกองทุนวีซี รวมทั้งจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมที่สนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัล เพื่อวางรากฐานสำหรับผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่อนาคตของสตาร์ทอัพในระดับยูนิคอร์น
“การตั้งบริษัท เกิดขึ้นจาก อีโค พาร์ทเนอร์ชิพ มีความหมายว่า จะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน สนับสนุนกัน บนพื้นฐานความเท่าเทียมกัน ทั้งแต่ผู้บริหาร จนถึงพนักงานระดับเริ่มต้น นำประสบการณ์มาเสริมให้เกิดความแข็งแกร่ง ส่วนการจดทะเบียนชื่อ ทรู เนื่องจากมีแบรนด์ ในด้านดิจิทัล และนวัตกรรม และมีพอร์ตโฟลิโอ ครอบคลุมธุรกิจมือถือ และพร้อมที่จะเป็นบริษัทเทคโนโลโลยีของประเทศ ที่ให้ความสำคัญธรรมาภิบาล “
ด้านนายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุน โครงข่าย กำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนว่า จะลงทุนจำนวนเท่าใด แต่ยืนยันว่า มีเป้าหมายสูงสุดในการส่งมอบสินค้าและบริการที่ดียิ่งกว่าเดิม สำหรับผู้บริโภค สำหรับ 7 กลยุทธ์ มุ่งสู่เป้าหมายขององค์กร เพื่อนำประเทศไทยสู่อนาคตดิจิทัล คือ 1. ผู้นำด้านโครงข่ายโทรคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างแท้จริง 2. เติบโตเป็นผู้นำนอกเหนือจากบริการหลัก เพื่อส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ 3. สร้างมาตรฐานประสบการณ์ใหม่เพื่อลูกค้าในประเทศไทย 4. เติมเต็มชีวิตอัจฉริยะยิ่งขึ้นเพื่อทุกสไตล์ของลูกค้าชาวไทย 5. ยกระดับมาตรฐานสำหรับลูกค้าองค์กร 6. สร้างสุดยอดองค์กรที่น่าทำงาน และ 7. การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มคุณค่าขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว