Site icon บางแสน

คุยชิลๆ กับนักแสดงน้องใหม่ “ต้า-บอม” พาย้อนวันวาน…ซ่าแต่ไม่เซ

ต้า-บอม ซีรีส์ พี่จะตีนะเนย

ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน และ บอม-ธนวัฒน์ อุทัยกิจวานิช สองหนุ่มนักแสดงน้องใหม่จากซีรีส์ พี่จะตีนะเนย (I Will Knock You) ซีรีส์ที่ไม่มีใครย้อนยุค นอกจากพระเอกจะตกยุคอยู่คนเดียว ที่ได้รับความนิยมและความรักจากคนดูอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่เริ่มเรื่อง กับเนื้อหาความคอเมดี้เบาสมองและคาแรกเตอร์สุดจ๊าบของตัวละคร กลายเป็นซีรีส์ที่น่าจับตาและมาแรงสุดๆ ในช่วงที่ผ่านมา

งานนี้ Sanook.com เลยพาทั้งสองหนุ่ม ต้า-บอม มาพูดคุยทำความรู้จัก ตัวตนที่แท้จริง ทั้งในจอและนอกจอ ให้แฟนๆ ได้รู้จักทั้งสองคนให้มากขึ้น แถมงานนี้ทั้งต้าและบอมยังพาย้อนวันวานไปยังช่วงเวลาพิเศษวัยเรียนของพวกเขา จะสนุกและบันเทิงขนาดไหน มาติดตามบทสัมภาษณ์พิเศษของ ต้า-บอม ไปด้วยกันเลย!

 ต้า-บอม ซีรีส์ พี่จะตีนะเนย

แนะนำตัวเองสั้นๆ ให้แฟนๆ รู้จักหน่อย

ต้า: ผม ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน ครับ เกิดวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 ตอนนี้อายุ 18 ครับ จบมาจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยครับ ตอนนี้ศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ที่ ม.รังสิตครับ ปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์
บอม: ครับ ผม บอม-ธนวัฒน์ อุทัยกิจวานิช ครับผม เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม 2538 อายุ จบจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ อินเตอร์ครับ สาขา Entrepreneurship and Management เกี่ยวกับการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารจัดการครับ ปัจจุบันเป็นนักแสดงครับ

พูดถึงฟีดแบคจากซีรีส์หน่อย เป็นยังไง

บอม: โอ้โห ฟีดแบคดี ดีมาก
ต้า: ฟีดแบคดีมาก หายเหนื่อยเลยครับ เราถ่ายกันมา 9 เดือน พอซีรีส์ออนแล้วเห็นกระแสแฟนคลับแล้วเขาชอบ ก็คือหายเหนื่อยเลย
บอม: ก็กระแสแรกๆ เลยที่มา ก็คงจะเป็นใน TikTok ที่คนแชร์กันเยอะมากๆ ซึ่งเราก็ไม่คาดคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จมากถึงขนาดนั้น เพราะว่าอีพีแรกออนไปก็..
ต้า: ติดเทรนด์ที่หนึ่ง
บอม: ติดเทรนด์ ใช่ แล้วก็ขึ้น 100 ล้านวิวไรงี้ครับผม ก็ถือว่าเกินความคาดหมายของเรามากๆ

พอฟีดแบคมาดีๆ แบบนี้ คาดหวังอะไรในอนาคตไหม

ต้า: ก็หวังว่าทุกคนจะติดตามกันไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากให้ชอบ อยากให้หลงรักซีรีส์เรื่องนี้ เพราะพวกเราก็ตั้งใจกับมัน เราให้ร้อยกับมัน ก็อยากให้ เออชอบอะไรแบบนี้ครับ
บอม: ผมก็เหมือนกัน ก็อยากให้ทุกคนชื่นชอบในซีรีส์ เพราะว่า เหมือนเราพยายามจะฉีกกฎพอสมควรเลยจากซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ อย่างตัวละครก็ค่อนข้างที่จะแปลกใหม่มากๆ คิดว่าน่าจะไม่เคยตัวละครแบบนี้มาก่อน อย่าง เนยวัดพลุ ที่เขาเป็นนักเลงแต่ก็ยังเป็นนักเลงเด็ก แล้วก็แบบใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันแต่ย้อนยุคอยู่คนเดียว คือมันมีความแปลกใหม่ มีกลิ่นอายของความย้อนยุคอยู่ด้วย คิดว่าแบบ อยากให้คนดู อย่างน้อยแบบเปิดใจแล้วก็ลองมาดูเนอะ
ต้า: รับรองว่าติดใจแน่นอน
บอม: แบบชื่นชอบ ใช่ ติดใจแน่นอน

คาแรกเตอร์ตัวละครนี้ มีความเป็นตัวตนของเรากี่เปอร์เซ็นต์ เหมือน/ต่างจากตัวเรา 

ต้า: เหมือนตัวเนยวัดพลุกับผม มีความคล้ายกันมาก ด้วยความคาแรคเตอร์เนยมันกวน แล้วผมก็เป็นคนอย่างนั้น คือเอาจริงพี่แชมป์เขาพยายามปรับเนยกับทิจากนิยาย ให้เข้ากับเราที่สุด จะได้เล่นเป็นตัวเองด้วย แล้วก็สามารถพรีเซนต์ตัวเนย ตัวทิ ออกมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันผมกับเนยก็คือ เนยชอบแบบความโบราณ (บอม: ความเป็นย้อนยุค) ความย้อนยุคไรงี้ แล้วก็เป็นนักเลง น่าจะมีอยู่แค่สองอย่าง ใช่ เหมือน 80%
บอม: เห้ย เยอะอยู่นะ โห ถ้าของผม ผมว่าน่าจะสัก 60-70% ประมาณนี้ คือไลฟ์สไตล์ของทิเนี่ย เขาจะเป็นคนที่ธรรมด๊าธรรมดา แล้วก็ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นเส้นตรงมากๆ แล้วก็ในเรื่องของการเรียน เขาก็จะเป็นเหมือนเด็กเนิร์ดนิดนึง เป็นคนที่แบบตั้งใจเรียนมากๆ ซึ่งอันนี้ผมมองว่าไลฟ์สไตล์จะคล้ายๆ ผม เพราะผมเป็นคน เอ่อ นิ่งๆ เรียบๆ แล้วก็เป็นเหมือนเด็กที่ตั้งใจเรียน เด็กหน้าห้องอะไรงี้ครับผม

ด้านการเรียน เราเรียนเก่งกันไหม

บอม: ก็…
ต้า: เก่งครับ เก่ง (หัวเราะ)
บอม: (หัวเราะ) ก็พอได้ ถูๆ ไถๆ ได้ ใช่ ก็เลยรู้สึกว่า การที่ผมได้มาสวมบทตัวละครทิวา ไม่ถึงกับต้อง โห ทำการบ้านหนักแบบต้องเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลย เป็นตัวละครที่เราไม่รู้จักเลย คือมันไม่ใช่ ผมรู้สึกว่า มันยังมีอะไรบางอย่างที่ผมกับทิวาเนี่ย ที่มัน related กันได้ แต่ด้วยความที่ซีรีส์เราอะมันเน้นฮา เน้นโจ๊ะ ใช่มั้ย (หัวเราะ) มันก็จะมีความที่แบบ โก๊ะๆ อะไรบ้างอย่างของทิ ที่มันเพิ่มมากขึ้น แล้วก็มีความ comedy มากขึ้น อย่างถ้าต้องเจอเหตุการณ์ที่เจอเนยวัดพลุ เขาก็จะ… โห กลัวแบบกลัวมากๆ แล้วก็อยากจะหนี หนีไม่ได้ คือเขาจะมีความเล่นใหญ่กว่าผมตรงนี้ ใช่ อันนี้คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือผมอาจจะไม่ได้เบอร์นั้น

พูดถึงความฮาของเรื่องนี้ ค่อนข้างตลกโปกฮามากๆ เล่นกันเองไม่ขำกันเองบ้างเหรอ กลั้นขำยังไง

บอม: โห (หัวเราะ)
ต้า: กลั้นขำ
บอม: กลั้นขำทุกซีน
ต้า: ใช่ จริงครับ กลั้นขำ ผมใช้วิธีกัดกรามเอาครับ (บอม: หัวเราะ)

แต่มีหลุดมั้ย

ต้า/บอม: มีๆๆ มีครับมี
ต้า: มีไม่ไหวจริงๆ มันหลุดออกมาเลย

คิดว่าฉากไหนน่ารักสำหรับเรา

บอม: ถ้าเป็นผมนะ ตอนที่ผมเล่นซีรีส์เรื่องนี้ คือเวลาเราถ่ายทำกันอะ มันมีเวลาน้อยมากที่เราจะมานั่งเช็คมอนิเตอร์ ว่าเมื่อกี้เราเล่นไปยังไง ถ้าผู้กำกับบอกว่าชอบแล้ว โอเคแล้ว ก็คือผ่านเลย คือเราไม่ได้เห็นภาพพวกซีนต่างๆ มาก่อน จนกระทั่งซีรีส์ออน อย่างตอนอีพีหนึ่ง ที่เราแปะนิ้วโป้งกัน คือทิอะ ขโมยใจของเนยไป ก็คือดอกบัว ก็เลยพยามยามหาดอกบัวมาคืน ที่นี้ผมเลยทำเป็นเหมือนแบบ อะ เนยบอกว่าไรนะ รักษาคำพูดอะ *ถามต้า*
ต้า: ทำไรไว้อะ ทำให้มันได้อย่างนั้นหน่อย พูดไรไว้ ทำให้มันได้อย่างนั้นหน่อย (บอม: นะ) นะ!
บอม: แล้วก็ เยี่ยม! แล้วผมก็ อืม..ปิ๊งอย่างนี้ (ทำท่า) ใช่ ซึ่งผมอะ ตอนเล่น ไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาน่ารัก หรือว่าอะไร คิดว่ามันก็เป็นฉากโก๊ะๆ ฉากนึง แต่กลายเป็นว่า พอได้ดูของจริง ผมรู้สึกว่า เห้ย มันน่ารักมาก แล้วมันฟีลกู๊ดมากเลย ที่คนๆ นึงที่ขี้กลั๊วขี้กลัว แต่ก็มาเจอกับนักเลงที่น่ากลัว แล้วก็ยังเป็นเด็กกว่าด้วย แต่ก็ใจสู้ แล้วก็ (หัวเราะ) แปะโป้งไว้นิดนึง ผมก็คิดว่าแบบ เห้ย ภาพพวกนี้มันน่ารัก แล้วเราก็ไม่เคยเห็นเองด้วย ก็เลยคิดว่า เออ อยากจะติดตามซีรีส์เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ อยากดูเลยว่ามันจะมีฉากไหนที่มันจะ surprise เราอีก
ต้า: ซีนที่น่ารักใช่มั้ยครับ ถ้าซีน อ่า ถ้าสมมติแบบที่ทุกคนได้ดูไปแล้วก็อีพี 2 อันที่เนยจุ๊บเหม่งทิอะครับ คือมันเป็นซีนที่มันมีทั้งความงง ทั้งความโรแมนติก คือทุกอย่าง ผม…
บอม: โรแมนติกแบบแปลกๆ (หัวเราะ)
ต้า: เอ้อ ใช่ คือเนยอยู่ๆ ไปจุ๊บหน้าผากทิ จู่ๆ ก็เอาเพลงให้ฟัง ผมรู้สึกว่ามันโรแมนติกแบบแปลกๆ ครับ (หัวเราะ) เหมือนไม่มีเรื่องไหนทำมาก่อน

มุมมองตัวละคร จากมุมของตัวเอง สิ่งที่ได้จากการรับบทเป็นตัวละครนี้

บอม: ผมว่านักแสดงทุกคนแหละ พอเวลาเรามาแสดง มันเหมือนเราได้ไปสวมบทเป็นตัวละครๆ นึงที่มันไม่ใช่ชีวิตเรา มันเหมือนเราได้ไปใช้ชีวิตอีกชีวิตนึง ซึ่งทุกครั้งที่เราเข้ากองอะ เหมือนผมต้องเปลี่ยนจาก บอมเป็นทิวา มันก็มีความตื่นเต้นอะไรบางอย่างนะ เพราะแบบ เห้ย ชีวิตเรามันไม่ใช่แบบนี้ แต่ตอนนี้เรากำลังต้องทำในสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน อันนี้ผมว่าก็เป็นความตื่นเต้นสำหรับผม
ต้า: เอาจริง ก็เหมือนพี่บอมครับ คือเราก็ต้องสวมบทบาทที่ไม่ใช่ตัวเรา ที่ไม่ใช่ชีวิตเรา เราก็ต้องไปสวม คนที่เราเพิ่งเข้าใจคาแรคเตอร์เขา แล้วเราก็ต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด ผมก็รู้สึกว่าท้าทายดีครับ

อยากเป็นเพื่อนกับตัวละครของตัวเองไหม

บอม: (หัวเราะ)
ต้า: (หัวเราะ) เอาจริงหรือว่า เอาเรื่องจริงเลยนะ เอาจริงไม่ (หัวเราะ) รู้สึกว่ามันแบบ อะ เนยวัดพลุเป็นเพื่อนผมนะ จะเกิดความวุ่นวายในชีวิตผมแน่นอนอะ คือชีวิตผมจะไม่ได้อยู่สุขอะ จะวุ่นวายมาก
บอม: ถ้าเป็นผมกับทิวา ผมว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา เพราะว่าเขาเป็นคนที่นิสัยน่ารัก เป็นคนซื่อๆ แล้วก็หวังดีกับทุกคน ถ้าเราได้เป็นเพื่อนกันอะ ผมคิดว่าเราคงจะเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผมคิดว่าผมชอบแนวนั้น

(อยากเป็นเพื่อนกับเนยวัดพลุมั้ย)
บอม: ไม่
ต้า/บอม: (หัวเราะ)
ต้า: ทำไมตอบเร็วอะ
บอม: ไม่ ให้มันจบแค่นี้ (หัวเราะ)

เมื่อกี้ลืมถามต้าอยากเป็นเพื่อนกับทิวาหรือเปล่า

ต้า: ผมหรอ หมายถึงตัวผมใช่มั้ย

ถ้ามีทิวามันจะมีความวุ่นวายในชีวิตเรามั้ย

ต้า: (หัวเราะ) เออ ถ้างั้นผมไม่เอาเลย ไม่เอาใครเพิ่ม ไม่เอาใครออก อยู่แค่แบบนี้แหละ

เพลงประกอบในซีรีส์เป็นเพลงเก่าเยอะ เราทันเพลงไหนบ้าง

บอม: จริงๆก็เคยได้ยินเนอะ
ต้า: เคยได้ยิน
บอม: พวกพรหมลิขิต ใจรัก
ต้า: เคยได้ยินทุกเพลงครับ

อยากให้เลือกเพลงจีบคนที่ชอบสักหนึ่งเพลง จะเลือกเพลงไหน

ต้า: ใจรัก มันโรแมนติกครับ วันก่อนผมยังเปิดฟังอยู่เลย มันรู้สึกมันโรแมนติก มันอบอุ่น ฟังแล้วทั้งดนตรีทั้งเสียง ทุกอย่างมันเข้ากันหมด แล้วรวมกันได้สมบูรณ์ครับ
บอม: ผมก็ชอบใจรักเหมือนกัน ภาษามันสวย มันเป็นภาษาที่มันไม่ได้ใช้ในยุคนี้ แต่พอเราฟังแล้วเรารู้สึกว่า เห้ย มันอินมากอ่ะ แบบ “โอ้ ดวงใจมีรัก ดั่งเจ้านกโผบิน” คือมันฟังแล้วสยิวกิ้วนะ แต่มันน่ารักอะ (ต้า: มันน่ารัก) ใช่ มันฟีลกู๊ด

ถ้าชีวิตจริงบอมต้องติวให้ต้า ต้าอยากให้ติววิชาอะไร

ต้า/บอม: (หัวเราะ)
ต้า: ติววิชาไหนเหรอครับ
บอม: ไม่ติวได้มั้ยอะ
ต้า: (หัวเราะ) เหมือนทิกับเนยเลยอะ
บอม: ไม่เอาได้มั้ยอะ ไม่ดีกว่า คือเขาเป็นคนที่ชอบเรียนรู้อะไรด้วยตัวเองไง ใช่มั้ยล่ะ จริงๆ ก็เคยคุยกันอ่ะ
ต้า: ใช่ๆๆๆ
บอม: คุณชอบเรียนรู้ด้วยตัวเองอ่ะ
ต้า: ใช่ครับใช่ จริง
บอม: อืม ปล่อยเขาไปครับ
ต้า/บอม: (หัวเราะ)
บอม: แล้วก็ปล่อยผมไปด้วย

เหมือนต้าก็ได้รับบทบาทที่เกี่ยวกับในวัดเยอะเหมือนกันนะ

ต้า: ใช่ครับ อยู่ในวัด

ซึมซับอะไรเกี่ยวกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรงี้มั้ยคะ

ต้า: (หัวเราะ) ไม่เลยครับ คือตั้งแต่ผมเข้าวงการมา ผมอยู่แต่ในวัดมาตลอด จนมาถึง พี่จะตีนะเนย ก็อยู่ในวัดเหมือนกัน ก็เนยวัดพลุเหมือนกัน ผมก็งงว่าทำไมผมต้องอะไรกับวัดทุกเรื่องเลย ผมก็งงเหมือนกันครับ

ไลฟ์สไตล์มีเกี่ยวข้องอะไรกับวัดเยอะมั้ย

ต้า: ไม่เลยครับ ไม่มีเลย
บอม: แต่คุณเล่น คุณดังทุกเรื่องเลยนะ เรื่องที่เกี่ยวกับวัดอ่ะ
ต้า: อย่าบอกนะ
บอม: อย่าบอกนะ
ต้า/บอม: (หัวเราะ)

คิดว่ามันเป็นพรหมลิขิตมั้ย ได้เล่นเกี่ยวกับวัด

ต้า: เอาจริง ผมไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต ใช่ ผมรู้สึกว่ามันต้องอะไรบางอย่างที่ชักจูงเรามาให้เจอเรื่องนี้
บอม: อะไรล่ะ อะไรบางอย่างคือไร
ต้า: อะ สมมติ
บอม: โชคชะตาเหรอ ก็คล้าย ๆ พรหมลิขิต
ต้า: สมมตินะ (บอม: สถานการณ์) สถานการณ์ แบบต้องมีตัวกลางอะไรอย่างนี้ครับ
บอม: โอเค วิทยาศาสตร์
ต้า: ใช่ อย่างสมมติเรื่องนี้ใช่มั้ย ก็พี่แชมป์งี้ครับ พี่แชมป์เป็นคนลากมาให้เล่น เขาเจอผมในไอจีไรงี้
บอม: อ่า โอเค

เราพูดเหมือนเราเชื่อในพรหมลิขิตเลย

บอม: ใช่ครับ ผมเชื่อ ผมแค่รู้สึกว่าเราก็เชื่อในพุทธ หรืออะไรงี้ใช่มั้ย (หัวเราะ) ก็ถ้าเราทำดี เราก็ต้องได้ดี หรือว่าการที่เราแต่ละคนมาเจอกัน ก็น่าจะมีอะไรที่เป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตที่เกี่ยวข้องกัน ก็เลยได้มาเจอกัน และการเจอกันของผมกับหลายๆ คน ที่อยู่รอบตัวผม ผมคิดว่ามันเป็นการเจอกันที่ดี เป็นกัลยาณมิตรที่ดี ก็เราคิดดีทำดีอะเราก็เลยเจอแต่คนที่ดีๆ ไง ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
ต้า: (หัวเราะ)

เฟิร์สอิมเพรสชั่น เจอกันครั้งแรกเป็นยังไง และ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

บอม: เจอกันครั้งแรกที่สยาม
ต้า: ที่สยาม
บอม: เป็นงานภาพยนตร์
ต้า: ใช่ เปิดตัวภาพยนตร์
บอม: เป็นภาพยนตร์ เพราะเราคู่กัน The movie ก็เหมือนตอนนั้นคอนเฟิร์มแล้วว่าจะได้เล่นอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้ว่ามันคือโปรเจกต์อะไร เพราะว่ามาแคสไง ละเขาก็แบบโอเคคอนเฟิร์ม เสร็จปุ๊บ ประมาณอาทิตย์นึง ทางพี่แชมป์ก็เหมือนชวนผมไปงานเปิดตัวหนัง แล้วก็ชวนต้าด้วย เราไม่รู้ว่าจะได้เจอกันวันนั้น แล้วที่นี้พี่เอสก็เป็นโปรดิวเซอร์ เขาก็ชี้ให้ผมดูว่า “เออ เดี๋ยวได้เล่นกับน้องคนนี้นะ” แต่ตอนนั้นที่มันมืดอะ เลยไม่ได้มองเห็นหน้ากันอะไรขนาดนั้น
ต้า: แล้ววันนั้นผมใส่หมวก (หัวเราะ)
บอม: เออ ใส่หมวก ใส่แมสก์ (หัวเราะ) แล้วก็นั่งดูหนังด้วยกัน แต่ไม่ได้คุยอะไรกัน
ต้า: ก็คือยังไม่ค่อยเห็นหน้าชัดเท่าไหร่
บอม: (หัวเราะ)

เราก็รู้ตอนนั้นเหมือนกันเหรอ ว่าได้เล่นกับคนนี้

บอม: ไม่ๆ คือต้า เขาแคสมาก่อนผมปีนึง คือเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ แต่ผมมาช่วงที่ใกล้เปิดกล้อง เหมือนวันที่ได้เจอกับต้าแล้วหลังจากดูหนังเสร็จใช่มั้ยครับ เหมือนพี่แชมป์ก็เรียกให้กลับไปที่ออฟฟิศ ไปนั่งคุยเรื่องโปรเจกต์นี้กัน แล้วเขาถึงบอกว่า โอเค ซีรีส์ที่กำลังจะทำนะ ชื่อ พี่จะตีนะเนย ก็คือวันที่ผมเจอเขาเป็นวันที่ผมก็รู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ คือ พี่จะตีนะเนย
(เป็นยังไงบ้างเจอครั้งแรก)
บอม: ไม่ได้คุยอะไรกันเลย
ต้า: ใช่ แล้วเจอกันแต่ที่มืดๆ กลับไปออฟฟิศก็คุยกันข้างนอก ตอนนั้นมันตี 1 เที่ยงคืนตี 1 ก็มืด แล้วเปิดไฟสลัวๆ มันก็มองหน้าไม่ชัดอะครับ จนได้มารู้จักจริง ก็ตอนมันมีทริปที่เราไปด้วยกัน คือไปเชียงใหม่ กับพี่แชมป์ไรงี้ด้วย ไปอาทิตย์นึงครับ
บอม: ช่วงปีใหม่พอดี
ต้า: ทริปนั้นคือทำให้ได้รู้จักเลย
บอม: แต่ก่อนหน้าก็คือเหมือนแบบ หื้อ ยังงง ๆ กันอยู่

มันมีความคิดโผล่ในหัวอีกมั้ย หลังจากในที่สว่างอีกครั้ง

ต้า/บอม: (หัวเราะ)
บอม: เจอกันแบบสว่าง (หัวเราะ)
ต้า: ผมไม่ได้คิดอะไรเลย แบบโอเค ได้เล่นกับพี่บอม ก็โอเคครับ
บอม: เอาจริง ผมไม่รู้เลยว่าซีรีส์ พี่จะตีนะเนย คือเกี่ยวกับอะไร คือพี่แชมป์เขาแค่เล่าเรื่องราวเฉยๆ แต่เราไม่รู้ว่าตัวบทมันเป็นยังไง จนกระทั่งเราได้บทมา อีพีแรก แต่ก็ไม่ได้มาจนจบ ทั้ง 12 อีพี ได้แค่มาแบบทีละนิดๆ ก็เลยเหมือนไม่ได้รู้ หรือเข้าใจว่าตัวละครนี้มันเป็น แบบไหน ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง และก็ไม่ได้เข้าใจตัวละคร ต้า ลึกซึ้ง ขนาดนั้นด้วย ก็ไม่รู้ว่าคนนี้ ใช่ เนยวัดพลุหรือเปล่า และตัวผม ใช่ ทิวาหรือเปล่า

ก็คือไม่ได้มีอิมเมจต่อกัน

บอม: ใช่ ไม่ได้มีอิมเมจ อ่อ คนนี้เล่นเป็นตัวนี้ ก็โอเค แค่นั้น แต่พอเหมือนเราได้อ่านบทไปเรื่อยๆ ได้ถ่ายด้วยกันไปเรื่อยๆ เราก็รู้ว่า เห้ย คนนี้แหละ เนยวัดพลุ ที่เหมาะมากๆ เลย ใครมันจะเล่นได้แบบนี้
ต้า: จริง ผมก็คิดเหมือนกัน ผมยังพูดกับคนอื่นอยู่เลย ว่าพี่บอมเป็นคนที่เล่นสวมบท ทิวา ได้เพอร์เฟกต์มาก
บอม: เห้ย คุณก็เหมือนๆ
ต้า: (หัวเราะ) อวยๆๆ

เข้าวงการมายังไง ผลงานแรกคืออะไร เล่าความรู้สึกตอนได้งานแรก

ต้า: ของผม พี่นาค 1 ครับ ตอนนั้นไปแคส บทเณรน็อต นี่แหละครับ แล้วก็ได้ อันนี้ก็คือจุดเริ่มต้นครับ แล้วก็มา ภาค 2 ภาค 3 แล้วก็มาเรื่องนี้ (ก็โตมากับวัด) ใช่ โตมากับวัด

บอม: ของผมนี่คือ ตอนแรกไม่ได้คิดเกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย จนกระทั่ง เหมือนอาผมเขาไปรู้จักกับแคสติ้งคนนึง เขาก็เลยส่งรูปผมไปให้กับพี่แคสติ้งคนนี้ เหมือนคอนเฟิร์มงานมาเลย อาเลยมาบอกผมว่า “เอารูปส่งไปให้คนนี้นะแล้วเขาก็คอนเฟิร์มมาแล้ว จะรับงานนี้มั้ย” ผมก็แบบ คืออะไร ไม่รู้จัก ก็คือเป็นภาพนิ่งของค่ายโทรศัพท์ เมื่อนานมาแล้ว ผมก็เลย “เออๆ ก็ได้” เลยลองไปดู หลังจากได้งานนั้น ผมก็เลยอยากจะลองไปแคสโฆษณา ก็เลยไปแคส ประมาณตัวที่ 4 ก็ได้งานโฆษณาตัวแรก แล้วหลังจากนั้นก็ไปแคสประปราย ตลอดเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงปิดเทอมมหาลัย ก็จะไปแคส แต่ก็ไม่ได้ได้งานเยอะ เพราะว่าการแข่งขันมันก็สูง สำหรับโพสิชั่นนึงจะมีแคส 40-50 คน คือเยอะมากๆ เหมือนค่อย ๆ เก็บประสบการณ์ทีละนิดทีละหน่อยมาเรื่อยๆ จนเราได้โฆษณาเยอะขึ้น ปีนึงเป็น 10 ตัว เหมือนเราค่อย improve ตัวเองมาทีละนิดๆ จนกระทั่งทางพี่เอส ติดต่อผมมาทาง Instagram ให้น้องมาเจอได้มั้ย ซึ่งตอนนั้นไม่มียอด follower อะไรเลยยอด 500-600 ประมาณนี้ ผมมาแบบไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ) คือเล่นโฆษณามันจะไม่เหมือนเล่นหนัง/ซีรีส์ คือเราจะไม่ได้มี follower อะไร นักแสดงโฆษณา ก็คือนักแสดงโฆษณา ไม่ได้มีใครติดตามอยู่แล้ว แต่ก็มีพี่เอส แล้วก็พี่แชมป์นี่แหละ เขามองว่าเราก็อาจจะพอที่จะเป็นทิวาได้นะ เขาก็เลยเรียกเข้ามาให้แคส

ถือว่าประสบความสำเร็จมั้ยคะพี่เอส

พี่เอส: ถือว่าตรงที่สุด เพราะว่ากว่าจะได้ทิวามา เป็นปี ยากมาก คือแคสมาทุกสำนัก สืบหาทุกช่องทาง จนเจอคนนี้ ตอนแรกก็แปลกใจเหมือนกัน คือเห็นแค่รูปเดียว อ่า มันได้ มันใช่อะ ลองทักไปดู จากในไอจีเลย ตอนนั้นผู้ติดตามแบบน้อยมาก เลยแบบ น้องยังเล่นอยู่รึเปล่าวะ
บอม: (หัวเราะ) ใช่ ผมไม่เล่นโซเชี่ยลมีเดียอะไรขนาดนั้น คือตั้งแต่มาเล่นซีรีส์ ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ผมเล่นโซเชี่ยลมีเดียเยอะที่สุดในชีวิตของผม มี Instagram กับ Twitter

ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง การใช้ชีวิต (เป็นคนติดบ้าน หรือ ชอบออกไปเที่ยวข้างนอก)

ต้า: จริงๆ มันแล้วแต่ mood ครับ แล้วแต่ feel ถ้าวันไหนผมอยากออกก็ออก แต่ถ้าวันไหน อยู่ห้อง อยู่บ้าน ก็นั่งทำเพลง
บอม: ส่วนผมเป็นคนติดบ้าน ผมชอบชีวิตที่มันสบายๆ ชิวๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยู่บ้านผมก็ ดูซีรีส์ ดูหนัง ฟังเพลง ฟังพอตแคสต์ แล้วก็ออกกำลังกาย หรือถ้าว่างๆ ผมชอบไปเดินพวกตลาดปัฐวิกรณ์ จตุจักร เจเจ ตึกแดง หรือไม่ก็ตลาดน้ำ ชอบไปเดินอะ ไปเดินเล่นเฉยๆ บางทีไม่ได้ซื้ออะไรก็ไปเดิน

ไม่ใช่พวกติดแอร์ห้างใช่มั้ย

บอม: ไม่ ผมไม่ได้เป็นคนติดห้าง จตุจักร ผมจะไปบ่อยสุด ไม่ได้ซื้ออะไรนะ คือไปถึงปุ๊ปก็ซื้อน้ำแก้วนึง น้ำชา แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เดินคนเดียวประมาณนี้ครับ

สองคนแบบ ไลฟ์สไตล์ต่างกันมาก มีอะไรที่คิดว่า เหมือนกันมั้ย

บอม: น้อยมาก
ต้า: อื้อ น้อยมากครับ
บอม: ต่างกันแบบคนละขั้วเลยผมคิดว่า เป็นเรื่องของการทำงาน ที่คลิกกันมากๆ
ต้า: การทำงาน
บอม: ด้วยความที่ซีรีส์มันถ่ายทำมาค่อนข้างนานประมาณนึง 9 เดือนใช่มั้ยครับ เราใช้ชีวิตด้วยกันเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มเปิดกล้องเลยด้วยซ้ำ มันเลยเหมือนเราเข้าใจซึ่งกันและกัน ผมก็เข้าใจต้าว่าต้าเป็นคนประมาณนี้ ต้าก็เข้าใจผมว่าผมเป็นคนประมาณนี้ เวลาเราทำงานด้วยกันเราคุยกัน เราจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่เป็นอุปสรรคอะไรขนาดนั้น เวลามาทำงานด้วยกันมันค่อนข้างที่จะสมูธมากๆ ผมเลยคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เราปรับจูนกันได้เร็วมากๆ

ถ้าชวนอีกคนไปทำกิจกรรมที่เราชอบได้ 1 วัน จะชวนไปทำอะไร

ต้า: ผมคิดว่า ชวนพี่บอมไปเตะบอล
บอม: ว่าแล้ว (หัวเราะ)
ต้า: เพราะว่าผมชอบเตะบอล
บอม: ผมหรอ ผมชวนเขาไปกินข้าวชิวๆ ที่ริมทะเลแล้วกัน เพราะว่าเพิ่งไปมา แล้วมันก็ชิวดี แต่ลมแรงไปหน่อย
ต้า: ลมแรงมาก (หัวเราะ)
บอม: ลมแรงเกิน

ไหนเล่าทริปการไปทะเลของพวกคุณหน่อย

ต้า: โหหห
บอม: อ๋อ จริงๆ วันนั้นอะ ไม่ได้จะไป แต่ว่าไปไหว้พระด้วยกัน มีพี่แชมป์ แล้วก็นักแสดงคนอื่นด้วย ไปไหว้พระกันที่ฉะเชิงเทรา ทีนี้ไหว้เสร็จเร็วก็เลย เลยไปบางแสน (หัวเราะ) บรรยากาศมันชิวดีแต่แค่ลมแรงไปหน่อย
ต้า: ไปนั่งกินข้าวกันริมทะเล
บอม: ละแบบหัวฟู (หัวเราะ)
ต้า: แบบกินไม่ได้อะ (หัวเราะ) ลมแรงแบบจานปลิว
บอม: แต่วันนั้นอยู่กันถึงดึกเลยอะ แบบมันชิลดี คุยไปเรื่อย

ถ้าอยู่กับเพื่อน เราเป็นฝ่ายพูดหรือฝ่ายฟัง

ต้า: ผม ทั้งสองอย่างเลย เอาจริงถ้าอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนเลยนะ เพื่อนผมจะพูดเยอะกว่าผมอีก ผมจะฟังแล้วก็เสริมไรงี้
บอม: ถ้าเป็นผม ผมจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่า เพราะว่าถ้าในชีวินประจำวันของผมเลย คือผมเป็นคนพูดน้อย เป็นคนนิ่งๆ เพื่อนผมก็จะมีแค่กลุ่มเล็ก กลุ่มเล็กมากๆ ก็จะปล่อยให้เพื่อนพูดไป แล้วผมก็จะฟัง แล้วยิ้ม เป็นแนวนั้นมากกว่า

 

พูดถึงตอนเด็กเป็นคนยังไง มีอะไรแตกต่างจากตอนโตไหม

บอม: ผมเรียบร้อยมาก ผมไม่มีวีรกรรมอะไรเลย ของผมค่อนข้างเสมอต้นเสมอปลายมาก ที่เพื่อนน้อยตั้งแต่เด็ก พูดน้อยจนแม่ค่อนข้างกังวลว่าผมเข้าสังคมไม่เก่งหรือเปล่า ทำไมชอบปลีกวิเวก ปลีกตัวออกมาจากคนอื่นไรงี้ แต่ก็เคยคิดนะว่าแปลกหรอที่เราพูดน้อย พอโตขึ้นมาก็เริ่มเข้าใจว่า เออ จริงๆ เราก็เป็นขอบเราแบบนี้ มันก็คือจุดที่เราใช้ชีวิตแล้วแฮปปี้ที่สุด เราก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวเองขนาดนั้นเลย ตอนนี้เราแฮปปี้ดีแล้วนี่ แล้วก็พอโตขึ้นก็เริ่มยอมรับได้เราเป็นแบบนี้ เรามีความสุข ไม่ได้ทำร้ายใคร ก็เป็นอย่างนี้ไป แต่ว่าในเชิงของการทำงาน มันก็ทำให้เราเปลี่ยนตัวเองเยอะเหมือนกัน อย่างซีรีส์ที่ได้เล่น เราก็ต้องเคาะตัวเองออกมาตากเซฟโซนของเรา ต้องออกมาพบเจอผู้คนแล้วก็ทำความรู้จักกันคนใหม่ๆ ค่อนข้างเยอะ แต่ผมว่ามันดีนะ มันโชคดีด้วยที่ได้เจอคนที่เขาเข้าใจเรา อะเขารู้ว่าผมไม่ได้แบบชอบเที่ยวขนาดนั้น เขาก็เข้าใจ เขาก็ชวนแค่ “ป่ะ ไปตลาดนะ” ชวนไปด้วยกัน ก็คืออยู่ด้วยกันแล้วเข้าใจกัน เข้าใจไลฟ์สไตล์ซึ่งกันและกัน

ต้า: ตอนเด็กกับตอนนี้ เอาจริง ผมเป็นเด็กซน ดื้อ ผมเคยเกือบเผาบ้านอะ คือตอนนั้นผมจำเหตุการณ์ได้เลย ไปบ้านน้าครับ แล้วผมหยิบทิชชู่แผ่นนึง แล้วอันนี้มันเป็นเทียบหอม แล้วผมเอาทิชชู่ไปกางเทียนหอม แล้วอยู่ๆ ทิชชู่มันไหม้ แล้วผมไม่รู้ทำยังไงใช่ป่ะ ตอนนั้นผม “เห้ย ทำไงดีๆๆๆๆ” แล้วถือทิชชู่ซึ่งมันไฟลุกอะครับ ผมก็เลยเดอนออกจากบ้านไป ไปโยนทิ้งนอกบ้าน แล้วคือบ้านน้าผมอยู่ตลาดไท แล้วตรงนั้นมันเป็นกองขยะ แล้วผมก็ทิ้งไปตรงนั้น ผมก็ไม่อยากบอกใครอะครับ กลัวโดนดุ ผมก็เลยเดินมา แต่เอาจริงมันก็ไม่ไหม้นะครับ มันก็ไม่ลาม มันก็ดับ ผมเดินมาในบ้านแล้วก็มือพองเลย พองจนถึงตอนนี้เลย เดินเข้ามาผมก็ไม่กล้าบอกใคร จนถึงจุดที่ทนไม่ไหวจะร้องไห้ละตอนนั้น เลยเดินไปบอกแม่ว่า “แม่ มือเป็นไรไม่รู้ (หัวเราะ)” นี่มือเป็นไรไม่รู้ แล้วโชคร้ายไปหน่อยครับ บ้านน้าผมมีกล้องวงจรปิด เขาเลยดู ตอนนี้ยังมีคลิปอยู่เลย เขาเลยดูกล้องวงจรปิด ผมก็เลยโดนดุครับ แล้วก็ไปทำแผล (ตอนนั้นกี่ขวบ) สิบต้นๆ ครับ

แล้วเป็นไงปัจจุบันยังมีความอย่างนั้นอยู่มั้ย อยากรู้ อยากลอง

ต้า: (หัวเราะ) ไม่อยากลองแล้ว มันก็โตขึ้นอ่ะ มันรู้เรื่องขึ้นว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ถ้าเรื่องความซน ก็ถ้าอยู่กับคนที่เราโอเค ก็ซน แต่ถ้าอยู่กับคนอื่น ก็เฉยๆ นิ่งๆ ก็ตามสถานการณ์ครับ

ความฝันวัยเด็ก อยากเป็นอะไร

ต้า: เอาจริงตอนเด็กผมอยากเป็นนักฟุตบอลครับ

นักฟุตบอล มีทีมโปรดมั้ยคะ

ต้า: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนยูครับ จริงๆ ผมอยากเป็นนักบอล แต่ไม่ทันแล้วครับ ก็ตอนที่ผมเริ่มเข้าวงการนี่แหละ แบบมันคงเป็นไม่ได้แล้วแหละ เราคงทำงานด้านนี้แหละ ก็เลยถอดใจครับ เลยไม่เป็นแล้ว

แล้วเคยไปคัด หรืออะไรเกี่ยวกับฟุตบอลมั้ย

ต้า: เคยครับ เคยไปซ้อมเป็นอะคาเดมี่ของยูเวนตุส เป็นทีมจากอิตาลี แล้วก็โค้ช พวกเทรนเนอร์ เขาก็มาซ้อมให้ที่ไทย ก็เลยสมัครไปเตะด้วย
บอม: เป็นแคมป์อะไรงี้เหรอ
ต้า: อื้อ เป็นแคมป์ แล้วก็มีไปคัดเป็นทีมไทยลีก แบบไม่ใช่ลีกต้นครับ เป็นลีกรอง ไปคัดอยู่แค่ว่าไม่ติดครับ ก็เลยกลับมา
บอม: ตอนเด็กผม คิดว่าคงอยากเป็นพ่อค้าครับ ขายอะไรซักอย่าง

(ถึงว่าชอบไปเดินซื้อน้ำ)

บอม: (หัวเราะ)

เหมือนเราดูไม่ได้ชอบเข้าสังคม แต่ก็ยังไปในพื้นที่มีการพบปะสังคมอยู่

บอม: ไป แต่ถ้าเป็นแนวคอนเสิร์ตไรงี้ ผมจะไม่ไป หรือเป็นแนวผับ เที่ยวกลางคืนงี้ ผมจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนว รู้สึกมันวุ่นวายเกินไป แต่ถ้าเกิดเราไปตลาดงี้ เราเดินชิลๆ ของเราเองได้ ผมไปผมก็ไปคนเดียว

แต่ถ้าเราอยากเป็นพ่อค้า เราก็ต้องปฏิสัมพันธ์กับคน เรียกลูกค้า

บอม: ผมถึงไม่ได้เป็นไง (หัวเราะ)

ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง อยากทำอาชีพอะไร

บอม: ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ก็เป็นพ่อค้าไงครับ (หัวเราะ) เพราะว่าที่บ้านเขาก็ทำเกี่ยวกับพวกเสื้อผ้าส่งออก แล้วเหมือนเราโตมาก็เห็นแต่ภาพนี้ เพราะว่าแม่ผมทำอยู่ประตูน้ำ ผมเลิกเรียนก็ไปประตูน้ำ เสาร์-อาทิตย์ ผมก็อยู่ประตูน้ำ ก็จะเห็นแต่พ่อค้าแม่ค้า ผมก็เลยเหมือนฝังหัว ว่า “อื้ม โตขึ้นเราก็อยู่ที่นี่แหละ” แต่พอโตขึ้นมาปุ๊ป แม่ก็ไม่ได้ทำตรงนั้นแล้ว เหมือนให้เป็นเช้าที่แทน ก็เลยเฟดๆ มาจากพ่อค้าแม่ค้าประตูน้ำแล้ว ก็ต้องหาเวย์อื่น แต่ผมเรียนแบบพวกแนววิทย์ ตอนนั้นก็คืดว่าน่าจะเป็น Engineer ผมก็เรียนนะมหา’ลัย ก็เรียน Engineering แต่ว่าเรียนได้ 2 ปี ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง ก็เลยย้ายมาบริหาร

ต้าล่ะ มีอีกมั้ย ถ้าไม่ใช่ฟุตบอล ไม่ใช่นักบอล

ต้า: เป็นศิลปินครับ

แสดงว่าเรามุ่งมั่นกับการทำเพลง

ต้า: เอาจริงตอนนี้ผมก็ทำ แบบทำทุกวัน ก็ว่างๆ ผมก็นั่งทำ นั่งเปิดบีท แล้วก็ลองดู ลองแต่งดู ถ้าชอบก็แต่งเลย ถ้าไม่ชอบก็เปิดบีทอื่นๆ แล้วแต่งๆ รู้สึกอิน

นี่เราเรียนรู้เองเลยเหรอ

ต้า: ใช่ๆ เรียนรู้เองครับ

มันมีผลงานอะไรของเราที่มันออกไปแล้วมัน เห้ย เราได้ฟีดแบคนึงกลับมา แล้วใจฟู

ต้า: เอาจริงผมทำเพราะว่าผมชอบ ผมอินกับมัน รู้สึกว่าทำแล้วมีความสุข คือเพลง ผมสามารถบอกได้ว่าเพลงเป็นเซฟโซนด้วย เวลาผมเศร้า หรือผมหงุดหงิดอะไร ผมทำเพลงผมจะระบายไปกับเพลงเลย
บอม: ศิลปินมาก

เราดูไม่ได้คาดหวังผลตอบรับขนาดนั้น

ต้า: อ่า ถ้าผลตอบรับดี ก็โอเคครับ ก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะผมชอบอยู่แล้ว

วางแพลนชีวิตในวงการว่ายังไง เรามีจุดมุ่งหมายอะไรในตอนนี้ คาดหวังอย่างเช่น แฟนมีตติ้ง จัดคอนเสิร์ต ?

ต้า: ผมอยากจัดคอนเสิร์ต หรือแบบเป็นคอนเสิร์ตที่เขาจัดกันทุกปีอยู่แล้ว แล้วผมไปร่วมงี้ เฟสติวัล เป็นแบบความฝันเลย แล้วแบบขึ้นปุ๊บคนร้องเพลงผมได้ คือสูงสุดละ

มีเวทีไหนที่อยากไป

ต้า: โหหห ถ้าอยากไปสุดคือ เชียงใหญ่เฟสติวัล อยากไปสุด เพราะเคยไปมาปีนึง โหห อยากไปยืนบนนั้น

ล่าสุดได้ไปเชียงใหญ่มั้ย

ต้า: ล่าสุดไม่ได้ไปครับ ผมมีงาน
บอม: ของผมเหรอผมก็ คือตอนนี้มันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ในสายอาชีพนี้ของผมอยู่ แต่ถ้าให้มองไปไกลๆ ก็ผมอยากเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้นกว่านี้ เพราะตอนนี้ผมยังรู้สึกว่าผมยังพัฒนาได้อีก แล้วก็เหมือนตอนนี้อุตสาหกรรมของประเทศไทยมันก็มีการคอลแลปกับต่างประเทศเยอะใช่มั้ย ผมก็หวังว่าวันนึงผมจะได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ที่มันมีความอินเตอร์กว่านี้ อย่างซีรีส์เรื่องนี้ก็อินเตอร์นะ ก็มีอินเตอร์แฟนเยอะ แบบชาวต่างชาติเข้ามาดู แต่ถ้าเกิดวันนึงเรามีความสามารถมากพอที่จะได้ไปร่วมงานกับต่างประเทศ ได้ไปเล่นหนังที่มันแมสกว่านี้ หรือเป็นที่ยอมรับโดยทุกๆ คน ก็ดี ถ้าเป็นไปได้นะ แต่ถ้าเอาใกล้ๆ ก็ แฟนมีต อยากเจอทุกคน

อยากไปที่ไหนในเมืองไทย หรือในเอเชีย

บอม: ก็ในเมืองไทย แล้วก็ในเอเชียก็ดีครับผม

ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่มีแฟนต่างชาติมาทักทายเราทุกวันมีความแบบ เห้ย รู้สึกตื่นเช้ามา เนี่ย เป็นยังไงบ้าง

บอม: รู้สึกแปลกนิดนึง แต่ว่ายังไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนขนาดนั้น เราก็ยังไม่ได้เจอแฟนคลับเยอะขนาดนั้นด้วย เหมือนยังไม่ได้มีงานเปิดที่เจอกัน ก็เลยยังไม่รู้ว่าถ้าเราเห็นเขาจริงๆ แล้วมันจะเยอะแค่ไหน

คิดว่าจะร้องไห้บนเวทีไหม

บอม: ผมคิดว่าร้องแน่เลย (หัวเราะ) มันตื้นตัน ผมรู้สึกว่าผม ชอบการแสดงและก็พยายามกับมันมาหลายปีเหมือนกัน แบบผมอยู่โฆษณาผมอยู่มา 5 ปี แล้วผมมีโอกาสจะได้แคสซีรีส์น้อยมาก เพราะซีรีส์หลายๆ เรื่องมันก็เป็นความลับใช่มั้ยครับ หรือไม่ก็ตัวเมนถูกเลือกไว้แล้ว เราจะได้ไปแคสก็เป็นตัว 3 4 5 ผมรู้ว่ามันเป็นอาชีพที่พื้นที่มันน้อยอะ ที่นักแสดงจะถูกเลือกแล้วขึ้นมาเล่นเป็นนำในซีรีส์หรือในละคร ก็เลยรู้สึกว่า เห้ย เราพยายามมา 5 ปี มันมีช่วงที่เราท้อมากๆ เลย แต่พอเราคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เออวันนี้มันรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว เราได้เล่นซีรีส์ที่เราใฝ่ฝันมานาน ถ้าขึ้นสเตจคงร้องไห้ ผมคิดว่านะ

ต้าก็เคยเจอกับแฟนคลับมาบ้างแล้ว เคยมีประสบการณ์มาก่อน

ต้า: เจอบ้างครับ งานที่แฟนคลับจัด เป็นวันเกิดผม แฟนคลับก็เลยจัดให้รวมเป็นแฟนมีตเล็กๆ อะครับ ก็น่ารักดีครับ

สุดท้ายแล้ว ฝากการติดตามหน่อย

บอม: แล้วก็อยากให้มาดูซีรีส์พี่จะตีนะเนยนะครับ เพราะว่าเป็นซีรีส์ที่คิดว่าฉีกกฎมากๆ ในยุคนี้ แล้วก็เป็นตัวละครที่ไม่น่าจะเคยเห็นมาก่อน บวกกับมิตรภาพของสองคนที่มันไม่น่าจะมาเจอกันได้ เพราะว่าทั้งสองมีชีวิตที่แตกต่างกันมากๆ แต่พอได้มาเจอกันแล้วเนี่ยมันจะเกิดเหตุการณ์อะไรอีกหลายอย่างมากมายเลยที่เปลี่ยนชีวิตของคนทั้งคู่ ก็เลยอยากให้ติดตามครับ
ต้า: ฝากพี่จะตีนะเนยนะครับ ออนแอร์ทุกวันศุกร์ 5 ทุ่ม ที่ช่อง 3 กด33 แล้วก็รีรันที่ AIS PLAY ครับ 5 ทุ่มครึ่ง ฝากด้วยครับ

Exit mobile version